Your address will show here +12 34 56 78
โปรโมชั่น
หากพูดถึงการอัพเกรดช่วงล่างให้มีความนุ่มนวลแล้ว สิ่งแรกที่เราจะนึกถึงเลยคือการอัพเกรดโช้คอัพ ซึ่งโจทย์นี้ผมขอยกให้โช้คอัพแบรนด์ Tein เป็นช่วงล่างที่ตอบโจทย์มากที่สุด ซึ่งก็จะมีคำถามต่อมาอีกว่า
ทำไมโช้คอัพ Tein ถึงมีความนุ่มนวลมากกว่าโช้คอัพธรรมดาทั่ว ๆ ไป วันนี้เราจะไปเจาะลึกถึงโครงสร้างและระบบการทำงานของที่เป็นจุดเริ่มต้นของความนุ่มนวลในโช้คอัพ Tein กันครับ
Tein มีผลิตทั้งโช้คอัพโหลดและความสูงเท่าเดิม

เริ่มต้นกับสิ่งที่หลายใครหลายคนสงสัยกันมากที่สุดกันก่อนเลย คือความนุ่มนวลนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร ซึ่งคำตอบนี้จะเกิดขึ้นจากหลาย ๆ องค์ประกอบรวมกัน
ตั้งแต่การเลือกโครงสร้างการผลิตโช้คอัพที่ปัจจุบันทางแบรนด์ Tein ได้เลือกใช้โครงสร้างโช้คอัพแบบกระบอกคู่ (Twin-Tube) ซึ่งโครงสร้างแบบนี้ภายในกระบอกโช้คอัพจะให้มีห้องน้ำมันและห้องแก๊ส 2 ชั้นซ้อนกัน
ซึ่งห้องด้านในจะเป็นตัวลูกสูบที่มีน้ำมันบรรจุอยู่ภายใน ส่วนห้องด้านนอกจะบรรจุด้วยแก๊ส และเมื่อโช๊คอัพมีการยุบตัวลง ลูกสูบจะดันน้ำมันลงมาผ่านทางวาล์ว เพื่อให้น้ำมันไหลไปสู่ตัวห้องแก็สด้านนอก
และเมื่อโช้คอัพมีการยืดตัวขึ้น น้ำมันในห้องด้านใน จะหน่วงลูกสูบไม่ให้เคลื่อนตัวขึ้นเร็วเกินไปจึงเกิดเป็นความนุ่มนวล และยังไม่หมดเพียงเท่านี้ Tein ยังได้มีการพัฒนาระบบวาล์วอีกหนึ่งชุดไว้ที่ด้านล่างของตัวโช้ค
ซึ่งวาล์วชุดนี้จะทำงานช่วงที่โช้คมีการยุบตัวด้วยความเร็ว ซึ่งอาจจะเกิดจากการตกหลุมหรือการกระแทกที่ความเร็วสูง วาล์วชุดนี้จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงกระทำให้กลายเป็นความร้อนและดูดซับแรงกระแทกในช่วงที่โช้คมีการยุบตัวจนสุดกระบอก
ช่วยให้เราสามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้นซึ่งเทคโนโลยีนี้ทาง Tein ได้ใช้ชื่อว่า Hydraulic Bump Stopper (H.B.S.) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะแบรนด์ Tein เพียงแบรนด์เดียวเท่านั้น
 
ปัจจุบัน Tein มีผลิตครอบคลุมรถยุโรปด้วยนะครับ

ปัจจุบัน Tein Thailand ได้มีการนำโช้คอัพเข้ามาจัดจำหน่ายรุ่นโช้คให้เราได้เลือกใช้กันมากถึง 5 รุ่น โดยจะแบ่งโช้คอัพออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่
กลุ่มแรกจะเป็นโช้คอัพอัพเกรดความสูงเท่าเดิมโดยจะมีผลิต 2 รุ่น
– Tein Endurapro โช๊คอัพความสูงเท่าเดิมประสิทธิภาพสูงสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันออกแบบมาให้สามารถใช้ร่วมกับสปริงเดิมติดรถได้เลย
– Tein Endurapro Plus โช้คอัพความสูงเท่าเดิมรุ่นนี้จะเพิ่มความสามารถในการปรับค่าความหนืดได้สูงถึง 16 ระดับ 
กลุ่มที่ 2 จะเป็นโช้คอัพแบบปรับความสูง-ต่ำได้ (โช้คโหลด) 
– Tein Srteet Advance Z โช้คสตรัทมาพร้อมสปริงที่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ และปรับความหนืดได้ 16 ระดับ เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองที่ต้องการโหลดจัดทรงโดยที่ยังคงความน่มนวล
– Tein Flex Z โช้คสตรัทมาพร้อมสปริงที่สามารถปรับความสูง-ต่ำได้มากขึ้นด้วยการสไลด์กระบอกและสามารถปรับความหนืดได้ 16 ระดับ โดยรุ่นนี้จะเป็นโช้คอัพที่มีสมถรรนะสูงขึ้นเกาะถนนดีขึ้นเหมาะสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง
– Tein Flex A รุ่นนี้จะมีฟังก์ชั่นการใช้งานเหมือนกันกับรุ่น Flex Z แต่ตัวกระโช้คจะเป็นระบบเปิดจึงสามารถเปิดซ่อมได้ซึ่งปัจจุบันมีผลิตเพียงไม่กี่รุ่นรถเท่านั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นทางร้าน P2013 ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับระบบช่วงล่างและการขับขี่เป็นอย่างมากเพราะนอกจากจะช่วยให้คุณใช้รถได้อย่างสบายมากขึ้นแล้วยังช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัย ในการขับขึ่ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 10 ปีที่จะช่วยแนะนำการเลือกโช้คอัพให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ และมีความชำนาญในการติดตั้งโช้คอัพ Tein มากกว่า 100 ชุด/ปี นึกถึงช่วงล่างนึกถึง P2013
Facebook : facebook.com/PorTanapat.13
Youtube : P2013
Tik Tok : https://www.tiktok.com/@p2013bynoke
LINE ID : @P2013
Instagram : Por.2013
เว็บไซต์ : p2013.co
0

โปรโมชั่น
Enkei ล้อญี่ปุ่นที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีที่สุดอีกหนึ่งแบรนด์ ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ทำให้ใครหลายคนมั่นใจเลือกใช้ล้อแบรนด์นี้เป็นอันดับต้น ๆ
โดย Enkei ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1950 ที่จังหวัดชิซุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น โดยชื่อแบรนด์เป็นการนำคำว่า Enshu และ Keigoukin มารวมกันจะได้คำว่า Enshu Keigoukin ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Enshu lightweight Alloy
หมายถึงล้อแม็กอัลลอยน้ำหนักเบาจากแคว้น Enshu ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของจังหวัดชิซุโอกะ โดยทางแบรนด์ Enkei มีคติที่สำคัญคือ “ความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน”
ซึ่งคุณ Junichi Suzuki ได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพ คุณภาพในการผลิตเป็นอย่างมาก และในปัจจุบันล้อแม็กของ Enkei ก็ยังไม่หยุดพัฒนาล้อแม็กที่มีนวัตกรรมการผลิตที่มีคุณภาพสูงสุดให้กับนักแข่ง
และผู้ที่ชื่นชอบในการขับขี่รถยนต์ Enkei ใช้สิทธิบัตร MAT (เทคโนโลยีขั้นสูงสุด) เพื่อสร้างล้อที่เบาที่สุดในโลก ความใส่ใจในรายละเอียดนี้เองที่ทำให้ Enkei แตกต่างจากล้อแม็กแบรนด์อื่นๆ โดยในปี 1995
Enkei ได้ถูกเลือกให้พัฒนาล้อแม็กกับทางทีมแข่งขัน Mclaren ในรายการ F1 (Formula1) ซึ่งเป็นรายการแข่งขันรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการจึงทำให้ Enkei เป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลกและได้รับความนิยมมาจนถึงในปัจจุบัน

Enkei มีผลิตตั้งแต่รถ Classic ไปจนถึงรถ Truck


ปัจจุบันล้อ Enkei  ได้แบ่งการผลิตออกเป็น 7 ประเภทโดยแต่ละประเภทจะมีการออกแบบโครงสร้างการผลิตและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามด้านล่างนี้
1.Motorsport : สำหรับรถแข่งขันรายการ F1 (ใช้ในการแข่งขันเท่านั้น)
2.Racing Revolution : สำหรับรถแต่งและการแข่งในรุ่นที่รองลงมาซึ่งล้อประเภทนี้ได้รับความนิยมสูงที่สุดเนื่องจากมีน้ำหนักที่เบาและแข็งแรง
3.Racing Series : สำหรับรถแต่งและการแข่งขันในรุ่นเริ่มต้น ล้อจะมีดีไซน์ให้เลือกเยอะขึ้นแต่จะไม่เน้นความเบาเท่ากลุ่ม Racing Revolution
4.Performance Series : สำหรับรถยนต์แต่งที่ต้องการความสวยงาม ดีไซน์ที่หลายหลายแต่ยังคงความแข็งแรงสำหรับการใช้งานบนท้องถนน
5.Tuning Series : สำหรับรถยนต์แต่งรุ่นเริ่มต้นที่ยังคงคุณภาพและความแข็งแรง ในราคาที่เบาที่สุด
6.Classic Series : สำหรับกลุ่มรถ Retro ที่ต้องการความ Classic แบบญี่ปุ่นแท้ๆ
7.Truck&SUV : สำหรับรถ PPV // Pick-Up รถที่มีรูน็อตล้อ 6 รู 

สำหรับหรับคนที่ต้องการเพิ่มความนุ่มนวลให้กับรถยนต์ของคุณ ผมแนะนำช่วงล่างอัพเกรดแบรนด์ Tein รุ่น Endurapro และ Kyb รุ่น New SR Special
ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้จะเป็นชุดช่วงล่างอัพเกรดที่จะช่วยซับแรงกระแทกแลเก็บรอยต่อถนนได้อย่างนุ่มนวล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับขี่และการโดยสาร
นอกจากจะได้รับความสบายที่มากขึ้นแล้วยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการเดินทางและลดอาการปวดหลังของคุณอีกด้วย ซึ่งช่วงล่างทั้ง 2 แบรนด์นี้จะมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรเรามาทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันเลยครับ
เริ่มกันที่ Tein รุ่น Endurapro กันก่อนเลยเพราะแบรนด์นี้หลายๆอาจจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างนี้สิ่งที่ช่วงล่างแบรนด์นี้จะให้คุณคือการซับแรงกระแทกได้อย่างนุ่มนวล
และลดอกาการโคลงได้อย่างสบายๆ ซึ่งถ้าคุณไม่ได้เป็นคนขับรถเร็วเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลักช่วงล่างแบรนด์นี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ
แบรนด์ต่อมาคือ KYB รุ่น New SR Special ช่วงล่างแบรนด์นี้จะให้ฟิลลิ่งที่ใกล้เคียงกันกับแบรนด์ Tein แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือความแน่น ความหนึบ ที่มีมากกว่า ซึ่งถ้าคุณเป็นคนชอบขับรถเร็ว ชอบเข้าโค้ง
และสนุกกับการขับขี่แต่ก็ยังอยากได้ความนุ่มสบายอยู่ช่วงล่างแบรนด์นี้จะตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อย่างแน่นอน
และที่สำคัญการเลือกซื้อโช้คที่ร้าน P2013 เรามีช่างผู้ชำนาญงานดูแลติดตั้ง พร้อมตั้งศูนย์ ให้คุณใช้งานช่างล่างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วยนะครับ
สุดท้ายการอัพเกรดช่วงล่างของทั้ง 2 แบรนด์นี้ไม่ได้ผลิตเฉพาะแค่รถญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ในปัจจุบันยังมีการผลิตครอบคลุมไปถึงรถยุโปรอีกด้วยครับ 



0

โปรโมชั่น
ถ้าพูดถึงยางญี่ปุ่นคงไม่มีใครไม่รู้จัก Toyo Tires ซึ่งยางแบรนด์นี้ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงจากการโฆษณาเท่านั้น ถ้าใครได้ลองใช้งานแล้วจะรู้ได้เลยว่ายางแบรนด์นี้มีดีอย่างไร ซึ่งวันนี้ P2013 จะพาไปเจาะลึกยางสำหรับรถยนต์ PPV (Pick-Up Passenger Vehicle)
โดยเฉพาะ ซึ่งก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับประเภทของยางสำหรับรถ PPV กันก่อนเลย เพราะยางแต่ละประเภทจะมีลักษณะของยางที่ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานที่แตกต่างกันโดยเราจะแบ่งยางออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ เลยคือ
1.ยาง Highway Terrain (H/T) ยางกลุ่มนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองเป็นหลักโดยลักษณะของดอกยางจะเน้นไปที่การยึดเกาะถนน การรีดน้ำ + โครงสร้างยางที่มีความนุ่มและเงียบ
2.ยาง All Terrain (A/T) ยางตระกูลจะอยู่ตรงกลางระหว่าง H/T กับ M/T สามารถใช้งานในเมืองได้และลุยได้ในระดับหนึ่ง
3.ยาง Mud Terrain (M/T) ยางสำหรับการใช้งานลุยป่าและเส้นทางทุรกันดารดอกยางจะมีดอกยางขนาดใหญ่ใช้สำหรับตะกุยหินและโคลนต่างๆ
เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ควรเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน



โดยเราจะมาเริ่มที่ยางประเภทแรกกันก่อนเลยสำหรับยาง H/T กลุ่มนี้แบรนด์ Toyo Tires ได้ผลิตรุ่น Proxes ST3 ที่เน้นการใช้งานในเมือง
ด้วยลักษณะการออกแบบดอกยางแผ่นใหญ่ที่เน้นไปทางด้านการยึดเกาะถนนในช่วงความเร็วสูงและการลดระยะเบรกให้สั้นลงรวมไปถึงการรีดน้ำได้อย่างดีเยี่ยม และโครงสร้างของยางที่เน้นความนุ่มเงียบ
ถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับการใช้งานบนถนนทางเรียบเป็นหลัก ทางหลวงทั่วไป หรืออาจจะเป็นเส้นทางขรุขระเล็กน้อย ไม่เน้นลุย
ประเภทต่อมาจะเป็นยาง A/T ซึ่งยางประเภทนี้ทางแบรนด์ Toyo Tires เองก็ได้มีการผลิตยางรุ่น Oper Country AT3 ออกมาให้เราได้ใช้งานกันโดยลักษณะการใช้งานของยางประเภทนี้จะมีดอกยางขนาดใหญ่และหนาขึ้น ตัวร่องยางจะมีความห่างจากกันเล็กน้อย
โดยที่หน้ายางยังคงสัมผัสกับพื้นถนนได้เป็นอย่างดี และยังสามารถตะกุยดินได้ระดับหนึ่ง ใช้งานได้ดีทั้งบนถนนทั่วไปและสามารถนำเอาไปใช้ลุยได้ในระดับหนึ่ง ที่ไม่ได้ทุรกันดารมาก ยางประเภทนี้เมื่อใช้บนถนนทางเรียบ
จะมีเสียงของยางและความแข็งที่มากกว่ายางประเภท H/T แต่ยังไม่ได้ถึงขนาดยาง M/T
และสุดท้ายเลยคือยางของกลุ่ม M/T ซึ่งยางกลุ่มนี้อาจจะไม่ได้รับความนิยมในบ้านเรามากเท่าไหร่นัก ด้วยภูมิประเทศไทยที่ไม่ได้มีป่า เขา หรือเส้นทางทุรกันดารมากจึงทำให้ยางกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกนำเข้ามาจำหน่อยในบ้านเรา
แต่ทางแบรนด์ Toyo Tires เองก็ไม่ได้ทิ้งกลุ่มของคนที่อยากได้ยางประเทภนี้จึงได้มีการนำยางรุ่น Open Country Rugged Terrain (R/T) เข้ามาจำหน่ายให้เราได้เลือกใช้กันซึ่งยางรุ่นนี้จะมีโครงสร้างที่แข็งแรงและสามรถลุยได้หนักกว่ากลุ่มของยาง A/T
โดยที่เนื้อยางเองยังมีความนุ่มที่มากกว่ากลุ่ม M/T มีดอกยางขนาดใหญ่ ร่องยางลึก และห่างกันมากที่สุด เอาไว้สำหรับตะกุยดินและสลัดดินออกจากตัวยางโดยเฉพาะ สามารถนำไปลุยได้กับทุกสภาพถนนหินดินโคลน ทางขรุขระ หรือปีนป่าย
ไม่แนะนำกับการใช้งานบนถนนทั่วไป เพราะยางมีน้ำหนักมาก มีเสียงดัง และยึดเกาะถนนน้อยเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง
สุดท้ายเราจะเห็นได้ว่ายางแต่ละประเภทเองก็จะมีข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกันออกไป ฉะนั้นเราควรเลือกยางให้ตรงโจทย์การใช้งานมากกว่าลายของดอกยางซึ่งไม่ได้หมายความว่ายางรุ่นนี้ดี รุ่นนั้นไม่ดี
เพราะยางที่ตรงโจทย์การใช้งานของเรามากที่สุดจะเป็นยางที่ดีที่สุดครับ

ความเร็วและเส้นทางคือโจทย์การใช้งานในการเลือกยาง



โดยสรุปแล้วถ้าโจทย์ของคุณเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไกลและทำความเร็วสูงคำตอบของคุณคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Toyo Tires Proxes ST3 อย่างแน่นนอน
แต่ถ้าโจทย์ของคุณมีการใช้งานในเมืองบ้าง ชอบท่องเที่ยวป่าเขาอุทยาน กางเต้นท์ แคมป์ปิ้งโจทย์นี้ผมแนะนำ Toyo Tires Open Country AT3 จะเหมาะสมที่สุด
และสุดท้ายถ้าคุณใช้งานต่างจังหวัดเส้นทางทุรกันดารหรือเข้าสวน เข้าป่าเป็นส่วนใหญ่ยาง Toyo Tires Open Country R/T ก็จะตอบโจทย์การใช้งานของคุณมากที่สุด
แต่สุดท้ายแล้วการเลือกยางจากหน้าตาของยางเองก็ไม่ได้ผิด ถ้าโจทย์ของคุณต้องการที่จะใส่เพื่อจัดทรงสวยๆ ไม่ได้ใช้งานด้วยความเร็วสูง แต่อาจจะต้องแลกมาด้วยความแข็งกระด้างและเสียงของดอกยางที่บดกับพื้นถนน
รวมถึงการยึดเกาะถนนที่น้อยลง แต่ถ้าคุณต้องการยางที่ตอบโจทย์ในการใช้งานงานมากที่สุดทั้งสเป็คยางที่ตรงรุ่นรถ คุณสมบัติของยาง และลักษณะการใช้งาน
สามารถปรึกษาทีมงาน P2013 เราพร้อมดูแล ให้คำปรึกษา แนะนำ การเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณได้อย่างตรงโจทย์ และที่ P2013 เองก็ยังมีสต็อกยางครบทุกรุ่น ทุกสเป็คไว้รองรับคุณอีกด้วยเช่นกันครับ
0

โปรโมชั่น
ชุดเบรก Custom ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือชุดเบรกอะไร ใช่เบรกปลอมหรือไม่ ทำไมมีชื่อและหน้าตาที่ไม่เหมือนกันวันนี้ P2013 มีคำตอบให้ครับ
อันดับแรกเรามาทำความรู้จักกับปั้มเบรก Custom กันก่อนเลยว่าคืออะไร
ปั้มเบรก Custom คือปั้มเบรกคุณภาพสูงที่เราถอดออกมาจากรถซุปเปอร์คาร์กันซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ผลิตชุดเบรกให้กับเหล่ารถซุปเปอร์คาร์คงหนีไม่พ้นแบรนด์ Brembo
ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตปั้มเบรกที่ใหญ่ที่สุด โดยปั้มเบรกถูกถอดออกมาจากรถรุ่นอะไรเราก็จะเรียกชื่อกันตามรถรุ่นนั้น ๆ เช่น Brembo Cayennne
ก็คือปั้มเบรกที่บริษัท Brembo ผลิตให้กับรถยนต์แบรนด์ Porsche รุ่น Cayenne ออกมาจากโรงงาน หรือ อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมคือปั้มเบรก Brembo CTS-V
ซึ่งก็คือปั้มเบรกที่บริษัท Brembo ผลิตให้กับรถยนต์แบรนด์ Cadillac รุ่น CTS-V นั่นเอง โดยปั้มเบรกแต่ละรุ่นก็จะมีหน้าตาและขนาดที่แตกต่างกันออกไปตามที่ผู้ผลิตกำหนดครับ
ชุดเบรก Custom คือเบรกแท้มือ 2


หลังจากที่เราได้ปั้มเบรกที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นมาแล้ว เราจะมาดูขั้นตอนในการ Custom กันเลย หลังจากที่เราเลือกรุ่นปั้มเบรกได้แล้ว
สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการเช็คสภาพของปั้มเบรกทุกชิ้นเพื่อให้อยู่ใสสถานะพร้อมใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โ
ดยจะเริ่มตั้งแต่การเช็คสภาพโครงสร้าง ระบบลูกสูบ และซีลยางต่างๆ พอเราได้ปั้มเบรกที่สมบูรณ์แล้วขั้นตอนต่อไป
เราจะนำปั้มเบรกไปทำความสะอาดและทำสีรวมถึงโลโก้ตามที่เราต้องการให้สวยงาม ก็จะออกมาเป็นปั้มเบรก Custom เป็นที่เรียบร้อย
ตรงจุดนี้เราจะเห็นได้เลยว่าปั้มเบรก Custom จะเป็นปั้มที่ถอดมาจากรถซุปเปอร์คาร์ ฉะน้้นตัวปั้มเองจะเป็นมือสองของแท้ ไม่ใช่มือ1 และไม่ใช่ปั้มปลอมที่สร้างขึ้นมาใหม่
และจุดนี้ตัวปั้มเองอาจจะมีร่องรอยบ้างเล็กน้อยเพราะเป็นมือ2 และเพื่อไม่ให้หลายๆ คนโดนหลอกสภาพโดยรวมของปั้มก็จะเป็นอีกองค์ประกอบที่จะพอบอกเราได้ว่าเป็นปั้มแท้หรือปลอม
เพราะถ้าตัวปั้มเบรกมีความใหม่มากๆ เหมือนของใหม่มือ1 อาจจะเป็นของปลอมก็เป็นได้ ซึ่งหลังจากที่เราได้ตัวปั้มมาแล้ว เราก็จะมาต่อกันที่จานเบรก
ตรงนี้เองก็จะมีหลากหลายขนาดให้ได้เลือกใช้โดยเราจะต้องคำนึงถึงปั้มเบรกที่เราเลือกและรุ่นรถที่จะนำมาติดตั้งประกอบด้วย เพราะจานเบรกที่จะสามารถจับคู่กับปั้มเบรกได้อย่างพอดีทั้งขนาดและความหนาจะมีค่อนข้างจำกัด
ซึ่งโดยส่วนใหญ่ทางแบรนด์ผู้ผลิตปั้มเบรกเองก็จะมีสเป็คจานเบรกที่เหมาะสมให้เราได้เลือกใช้อยู่ประมาณหนึ่ง
ซึ่งอาจจะไม่ได้ผลิตตรงกับขนาดที่เราต้องการ เช่น ปั้มเบรก Brembo รุ่น Cayenne สามารถจับคู่กับจาน brembo ขนาด 348mm. ที่อย่างพอดีทั้งขนาดและความหนา
จึงเกิดเป็นโจทย์ที่บางผู้ผลิตนำจานเบรกแบรนด์อื่นๆ มาจับคู่แทนเพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการดังนั้นการเลือกขนาดจานที่ใหญ่อาจจะไม่ได้หมายถึงคุณภาพที่ดีขึ้น
และตรงจุดนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ราคาเบรก Custom แต่ละที่มีราคาไม่เท่ากัน พอเราได้ปั้มเบรก+จานเบรกมาแล้ว
สิ่งต่อมาที่จะขาดไม่ได้เลยคือ ผ้าเบรก ซึ่งผ้าเบรกก็จะยึดตามรุ่นของปั้มเบรกของเราอีกเช่นกัน ถ้าเราใช้ปั้มเบรก Brembo รุ่น Cayenne ผ้าเบรกก็ต้องเป็นตรงรุ่นสำหรับปั้มเบรก Cayenne เช่นกัน
แต่ผ้าเบรกสำหรับ Porsche Cayenne เองก็ยังมีอีกหลากหลายแบรนด์ให้เราได้เลือกใช้ ตรงนี้เราสามารถเลือกผ้าเบรกให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละบุคคลได้เลย
และสิ่งชุดท้ายที่จะประกอบทุกอย่างให้เข้ากับรถยนต์คือ ขาเบรกและฮับจานนั่นเอง ซึ่ง 2 ชิ้นนี้จะเข้าสู่กระบวนการ Custom อย่างเต็มรูปแบบเพราะ 2 สิ่งนี้จะเป็นตัวกำหนดระยะของชุดเบรกทั้งหมด
ทั้งพื้นที่ติดตั้ง ความลึกของชุดเบรก รวมถึงระยะของผ้าเบรกที่ต้องสัมผัสกับจานเบรกได้อย่างเต็มหน้าและอยู่ตรงกลางแบบพอดี เสร็จแล้วเราก็จะมาเป็นชุดเบรก Custom ซึ่งยังไม่หมดเพียงเท่านี้การที่ชุดเบรกสามารถรองรับความร้อนและแรงดันได้มากขึ้น
สิ่งที่ควรจะอัพเกรดควบคู่กันไปด้วยก็คือสายถักเบรกและน้ำมันเบรก ที่สามารถทนต่ออุณหภูมิความร้อนได้มากขึ้นเพี่อให้เราใช้งานชุดเบรก Custom ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย
มาถึงตรงนี้เราจะเห็นรายละเอียดทุกส่วนของชุดปั้มเบรก Custom ทั้งการเลือกรุ่นปั้มเบรกและการเลือกอุปกรณ์ต่างๆ ที่มาใช้ในการ Custom ซึ่งวัตถุดิบทุกชิ้นของแต่ละแบรนด์ จะมีราคาที่ไม่เท่ากันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชุดเบรก Custom แต่ละที่มีราคาที่แตกต่างกันครับ

0