Your address will show here +12 34 56 78
โปรโมชั่น
Rays Wheels เบื้องหลังของผู้ผลิตล้อญี่ปุ่นหลากหลายแบรนด์ โดยจะมีผลิตตั้งแต่ล้อที่ผลิตด้วยวิธีการ Casting (การหล่อขึ้นรูป) ล้อที่ขึ้นรูปด้วยวิธีการ Flow Forming (รีดขึ้นรูปด้วยความร้อน)
และล้อที่ขึ้นรูปด้วยวิธีการ Forged (บีบอัด) ในวันนี้วันนี้เราจะพาไปดูแบรนด์ Volk Racing ซึ่งเป็นกรรมวิธีการผลิตแบบขึ้นรูปด้วยการบีบอัดและเป็นแบรนด์ที่คนทั้งโลกให้ความสนใจมากที่สุด เ
ราจะพาทุกคนไปเจาะลึกทุกขั้นตอนการผลิตจากโลหะเพียงหนึ่งชิ้นจนกลายมาเป็นล้อที่เราได้เห็นกันในปัจจุบัน


กว่าจะมาเป็นล้อ Rays
 


Volk Racing ล้อแบรนด์ญี่ปุ่นที่มีความพิถีพิถันและใส่ใจในรายละเอียดตั้งแต่ก่อนเริ่มการผลิต โดยล้อ Volk Racing ได้คัดสรรค์ Material (วัสดุ) ที่ดีที่สุดนั่นคือ
โลหะที่ผ่านการขึ้นรูปแบบหล่อมาเป็นทรงกลมที่มีส่วนผสมของ Magnesium, Titanium, Aluminium เป็นส่วนประกอบหลักซึ่งทำให้วัสดุนี้มีความแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก จากนั้นจะนำไปอบด้วยความร้อนที่ 500°
เพื่อให้สามารถนำไปขึ้นเป็นรูปทรงต่าง ๆ ตามที่ต้องการได้ โดย Volk Racing จะใช้วิธีการขึ้นรูปต่อด้วยการบีบอัดทั้งหมด 3 ครั้ง
โดยครั้งที่แรกจะเป็นการบีบอัดเพื่อให้ได้ขนาดของเส้นผ่าศูนย์กลางตามที่ต้องการด้วยแรงกดที่มากกว่า 5,000 กิโลกรัม / 1ตารางเซนติเมตร ครั้งที่สองจะเป็นการบับอัดด้วยแม่พิมพ์เพื่อให้ได้รูปทรงที่ต้องการ
ขั้นตอนนี้เราได้เห็นรูปทรงของลายล้อมากขึ้น ครั้งที่สามจะเป็นการปั้มด้วยแม่พิมพ์ที่มีความชัดเจนมากขึ้นเพื่อให้ล้อมีความเบาและแข็งแรง ก็จะออกมาเป็นล้อที่ไร้รอยต่อ
หลังจากนั้นจะนำล้อที่ได้ไปผ่านกระบวนการรีดท้องล้อด้วยความร้อนและแรงดันที่มากกว่า 10,000ตัน กระบวนการนี้ทำให้ท้องล้อของ Volk Racing เกิดการเรียงตัวของเส้นใยภายในสู่ภายนอกที่เรียกว่า Grain Flow
และส่งผลให้ท้องล้อของ Volk Racing มีลายคล้ายกับเส้นใยของไม้ไผ่ หลังจากนั้นจะนำล้อที่ผ่านความร้อนไปทำการชุบแข็งที่อุณหภูมิเย็นอย่างรวดเร็วเพื่อให้ล้อมีความแข็งแรงขึ้น เหนืยวขึ้น
ทนต่อการสึกหรอ และรับแรงกระแทกได้เป็นอย่างดี หลังจากนั้นจะนำล้อที่ได้ไปทำการหมุนและกลึงชิ้นงาน เจาะดุมล้อ เจาะรูน็อต และเจาะจุ๊บเติมลม เพื่อให้ล้อมีความสมดุลมากที่สุด
หลังจากนั้นจะนำไปตรวจดัวยเครื่องเรเซอร์เพื่อเช็คความสมบูรณ์เพื่อป้องกันข้อบกพร่องเล็ก ๆ ที่ตาเราอาจจะมองไม่เห็นซึ่งอาจจะก่อให้เกิดอันตรายในการใช้งานได้
โดยล้อทุกวงจะต้องผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียดเพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการขับขี่มากที่สุด จากนั้นจะทำการทดสอบตามมาตรฐานของ JWl, VIA, JAWA เป็นขั้นตอนต่อไป
และล้อที่ผ่านการทดสอบจะนำไปขัดเตรียมพื้นผิวในการทำสีด้วยมือ เพื่อเตรียมเข้าสู่กระบวนการทำสี ซึ่งจะมีกระบวนการมากถึง 7 ขั้นตอน

1. เตรียมพื้นด้วยการขัดล้อแบบพ่น ยิง เพื่อให้ล้อมีความสะอาดมากที่สุดก่อนทำการพ่นสี
2. ล้างด้วยกรดและเคลือบด้วยสารเคมีเพื่อให้สีที่พ่นมีการยึดเกาะที่ดีที่สุด โดยขั้นตอนนี้จะเป็นสิทธิบัตรเฉพาะของ Rays
3. พ่นสีรองพื้นที่ทนต่อการกัดกร่อน และทำหน้าที่ในการลดความไม่สม่ำเสมอของพื้นผิว
4. นำล้อไปเจียรเพื่อให้สีรองพื้นมีความใส และทำให้ล้อมีความเรียบเนียนมากยิ่งขึ้น
5. ล้อจะถูกนำไปรล้างด้วยกรดและเคลือบด้วยสารเคมีอีกครั้ง เพื่อเตรียมพ่นสีจริงในขั้นตอนต่อไป
6. เข้าสู่การพ่นสีจริงของล้อโดยเริ่มจากการพ่นสีรองพื้น จากนั้นจึงจะพ่นสีจริงและเคลือบใส
7. จะเป็นการแกะลวดลายและโลโก้ต่างๆ และมีการตรวจสอบความละเอียดด้วยมาตรฐานของทางบริษัท Rays เป็นขั้นตอนสุดท้าย ถึงจะออกมาเป็นล้อที่สวยงาม
แต่ก่อนที่โรงงานจะทำการส่งออก ทาง Volk Racing จะทำการตรวจสอบล้อทุกวงด้วยมาตรฐาน JWL และติดสติ้กเกอร์รองรับมาตรฐานล้อทุกวงก่อนส่งถึงมือลูกค้า


Rays มีผลิตครอบคลุมและรองรับทั้งรถญี่ปุ่นและรถยุโรป



หลังจากที่เราได้เห็นถึงความละเอียดและความพิถีพิถันในการผลิตล้อ Volk Racing ที่อยู่ภายใต้โรงงานของ Rays สิ่งเหล่านี้น่าจะตอบคำถามที่ใครหลายคนได้ตั้งคำถามว่า ทำไมล้อ Rays ถึงมีราคาสูงและใช้เวลาในการสั่งผลิตค่อนข้างนาน
สุดท้ายแล้วถ้าคุณกำลังมองหาล้อที่ดี มีคุณภาพสักชุดมาใช้งาน แบรนด์ Rays คงเป็นหนึ่งในตัวเลือกของคุณอย่างแน่นอน ปัจจุบันทาง P2013 ได้มีการนำล้อ Volk Racing ที่เป็นแบรนด์คุณภาพอันหนึ่งของ Rays เข้ามาเตรียมให้คุณสามารถติดตั้งได้เลยไม่ต้องรอสั่งผลิต
โดย P2013 ได้รวบรวมลายที่ได้รับความนิยมมากที่สุดนั่นก็คือ Volk Racing CE28 และ Volk Racing TE37 ซึ่งใน Model นี้ได้มีรุ่นพิเศษอย่าง Black Shadow ที่จะมีการสลักโลโก้ทั้ง Rays ที่เป็นผู้ผลิตและ Volk Racing ที่เป็นผู้ออกแบบอย่างสวยงาม
และมีสเปครองรับทั้งรถญี่ปุ่น (5/114.3) รถยุโรป(5/112) รถไฟฟ้า(5/120) และปิดท้ายด้วยรถปิคอัพ (6/139.7) อีกด้วย



Facebook : facebook.com/PorTanapat.
Youtube : P2013
Tik Tok : https://www.tiktok.com/@p2013bynoke
LINE ID : @P2013
Instagram : Por.2013
เว็บไซต์ : p2013.co
0

โปรโมชั่น
หากพูดถึงการอัพเกรดช่วงล่างให้มีความนุ่มนวลแล้ว สิ่งแรกที่เราจะนึกถึงเลยคือการอัพเกรดโช้คอัพ ซึ่งโจทย์นี้ผมขอยกให้โช้คอัพแบรนด์ Tein เป็นช่วงล่างที่ตอบโจทย์มากที่สุด ซึ่งก็จะมีคำถามต่อมาอีกว่า
ทำไมโช้คอัพ Tein ถึงมีความนุ่มนวลมากกว่าโช้คอัพธรรมดาทั่ว ๆ ไป วันนี้เราจะไปเจาะลึกถึงโครงสร้างและระบบการทำงานของที่เป็นจุดเริ่มต้นของความนุ่มนวลในโช้คอัพ Tein กันครับ
Tein มีผลิตทั้งโช้คอัพโหลดและความสูงเท่าเดิม

เริ่มต้นกับสิ่งที่หลายใครหลายคนสงสัยกันมากที่สุดกันก่อนเลย คือความนุ่มนวลนี้เกิดขึ้นมาจากอะไร ซึ่งคำตอบนี้จะเกิดขึ้นจากหลาย ๆ องค์ประกอบรวมกัน
ตั้งแต่การเลือกโครงสร้างการผลิตโช้คอัพที่ปัจจุบันทางแบรนด์ Tein ได้เลือกใช้โครงสร้างโช้คอัพแบบกระบอกคู่ (Twin-Tube) ซึ่งโครงสร้างแบบนี้ภายในกระบอกโช้คอัพจะให้มีห้องน้ำมันและห้องแก๊ส 2 ชั้นซ้อนกัน
ซึ่งห้องด้านในจะเป็นตัวลูกสูบที่มีน้ำมันบรรจุอยู่ภายใน ส่วนห้องด้านนอกจะบรรจุด้วยแก๊ส และเมื่อโช๊คอัพมีการยุบตัวลง ลูกสูบจะดันน้ำมันลงมาผ่านทางวาล์ว เพื่อให้น้ำมันไหลไปสู่ตัวห้องแก็สด้านนอก
และเมื่อโช้คอัพมีการยืดตัวขึ้น น้ำมันในห้องด้านใน จะหน่วงลูกสูบไม่ให้เคลื่อนตัวขึ้นเร็วเกินไปจึงเกิดเป็นความนุ่มนวล และยังไม่หมดเพียงเท่านี้ Tein ยังได้มีการพัฒนาระบบวาล์วอีกหนึ่งชุดไว้ที่ด้านล่างของตัวโช้ค
ซึ่งวาล์วชุดนี้จะทำงานช่วงที่โช้คมีการยุบตัวด้วยความเร็ว ซึ่งอาจจะเกิดจากการตกหลุมหรือการกระแทกที่ความเร็วสูง วาล์วชุดนี้จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงกระทำให้กลายเป็นความร้อนและดูดซับแรงกระแทกในช่วงที่โช้คมีการยุบตัวจนสุดกระบอก
ช่วยให้เราสามารถควบคุมรถได้อย่างปลอดภัยยิ่งขึ้นซึ่งเทคโนโลยีนี้ทาง Tein ได้ใช้ชื่อว่า Hydraulic Bump Stopper (H.B.S.) ซึ่งเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะแบรนด์ Tein เพียงแบรนด์เดียวเท่านั้น
 
ปัจจุบัน Tein มีผลิตครอบคลุมรถยุโรปด้วยนะครับ

ปัจจุบัน Tein Thailand ได้มีการนำโช้คอัพเข้ามาจัดจำหน่ายรุ่นโช้คให้เราได้เลือกใช้กันมากถึง 5 รุ่น โดยจะแบ่งโช้คอัพออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่
กลุ่มแรกจะเป็นโช้คอัพอัพเกรดความสูงเท่าเดิมโดยจะมีผลิต 2 รุ่น
– Tein Endurapro โช๊คอัพความสูงเท่าเดิมประสิทธิภาพสูงสำหรับการใช้งานในชีวิตประจำวันออกแบบมาให้สามารถใช้ร่วมกับสปริงเดิมติดรถได้เลย
– Tein Endurapro Plus โช้คอัพความสูงเท่าเดิมรุ่นนี้จะเพิ่มความสามารถในการปรับค่าความหนืดได้สูงถึง 16 ระดับ 
กลุ่มที่ 2 จะเป็นโช้คอัพแบบปรับความสูง-ต่ำได้ (โช้คโหลด) 
– Tein Srteet Advance Z โช้คสตรัทมาพร้อมสปริงที่สามารถปรับสูง-ต่ำได้ และปรับความหนืดได้ 16 ระดับ เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองที่ต้องการโหลดจัดทรงโดยที่ยังคงความน่มนวล
– Tein Flex Z โช้คสตรัทมาพร้อมสปริงที่สามารถปรับความสูง-ต่ำได้มากขึ้นด้วยการสไลด์กระบอกและสามารถปรับความหนืดได้ 16 ระดับ โดยรุ่นนี้จะเป็นโช้คอัพที่มีสมถรรนะสูงขึ้นเกาะถนนดีขึ้นเหมาะสำหรับการขับขี่ด้วยความเร็วสูง
– Tein Flex A รุ่นนี้จะมีฟังก์ชั่นการใช้งานเหมือนกันกับรุ่น Flex Z แต่ตัวกระโช้คจะเป็นระบบเปิดจึงสามารถเปิดซ่อมได้ซึ่งปัจจุบันมีผลิตเพียงไม่กี่รุ่นรถเท่านั้น
ทั้งนี้ทั้งนั้นทางร้าน P2013 ได้ให้ความสำคัญเกี่ยวกับระบบช่วงล่างและการขับขี่เป็นอย่างมากเพราะนอกจากจะช่วยให้คุณใช้รถได้อย่างสบายมากขึ้นแล้วยังช่วยเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัย ในการขับขึ่ ด้วยประสบการณ์มากกว่า 10 ปีที่จะช่วยแนะนำการเลือกโช้คอัพให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณ และมีความชำนาญในการติดตั้งโช้คอัพ Tein มากกว่า 100 ชุด/ปี นึกถึงช่วงล่างนึกถึง P2013
Facebook : facebook.com/PorTanapat.13
Youtube : P2013
Tik Tok : https://www.tiktok.com/@p2013bynoke
LINE ID : @P2013
Instagram : Por.2013
เว็บไซต์ : p2013.co
0

โปรโมชั่น
Enkei ล้อญี่ปุ่นที่ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีที่สุดอีกหนึ่งแบรนด์ ซึ่งวันนี้เราจะพาทุกคนไปดูประวัติศาสตร์อันยาวนานที่ทำให้ใครหลายคนมั่นใจเลือกใช้ล้อแบรนด์นี้เป็นอันดับต้น ๆ
โดย Enkei ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1950 ที่จังหวัดชิซุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น โดยชื่อแบรนด์เป็นการนำคำว่า Enshu และ Keigoukin มารวมกันจะได้คำว่า Enshu Keigoukin ที่แปลเป็นภาษาอังกฤษว่า Enshu lightweight Alloy
หมายถึงล้อแม็กอัลลอยน้ำหนักเบาจากแคว้น Enshu ซึ่งเป็นจุดกำเนิดของจังหวัดชิซุโอกะ โดยทางแบรนด์ Enkei มีคติที่สำคัญคือ “ความสมบูรณ์แบบในทุกด้าน”
ซึ่งคุณ Junichi Suzuki ได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพ คุณภาพในการผลิตเป็นอย่างมาก และในปัจจุบันล้อแม็กของ Enkei ก็ยังไม่หยุดพัฒนาล้อแม็กที่มีนวัตกรรมการผลิตที่มีคุณภาพสูงสุดให้กับนักแข่ง
และผู้ที่ชื่นชอบในการขับขี่รถยนต์ Enkei ใช้สิทธิบัตร MAT (เทคโนโลยีขั้นสูงสุด) เพื่อสร้างล้อที่เบาที่สุดในโลก ความใส่ใจในรายละเอียดนี้เองที่ทำให้ Enkei แตกต่างจากล้อแม็กแบรนด์อื่นๆ โดยในปี 1995
Enkei ได้ถูกเลือกให้พัฒนาล้อแม็กกับทางทีมแข่งขัน Mclaren ในรายการ F1 (Formula1) ซึ่งเป็นรายการแข่งขันรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่างเป็นทางการจึงทำให้ Enkei เป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลกและได้รับความนิยมมาจนถึงในปัจจุบัน

Enkei มีผลิตตั้งแต่รถ Classic ไปจนถึงรถ Truck


ปัจจุบันล้อ Enkei  ได้แบ่งการผลิตออกเป็น 7 ประเภทโดยแต่ละประเภทจะมีการออกแบบโครงสร้างการผลิตและลักษณะการใช้งานที่แตกต่างกันไปตามด้านล่างนี้
1.Motorsport : สำหรับรถแข่งขันรายการ F1 (ใช้ในการแข่งขันเท่านั้น)
2.Racing Revolution : สำหรับรถแต่งและการแข่งในรุ่นที่รองลงมาซึ่งล้อประเภทนี้ได้รับความนิยมสูงที่สุดเนื่องจากมีน้ำหนักที่เบาและแข็งแรง
3.Racing Series : สำหรับรถแต่งและการแข่งขันในรุ่นเริ่มต้น ล้อจะมีดีไซน์ให้เลือกเยอะขึ้นแต่จะไม่เน้นความเบาเท่ากลุ่ม Racing Revolution
4.Performance Series : สำหรับรถยนต์แต่งที่ต้องการความสวยงาม ดีไซน์ที่หลายหลายแต่ยังคงความแข็งแรงสำหรับการใช้งานบนท้องถนน
5.Tuning Series : สำหรับรถยนต์แต่งรุ่นเริ่มต้นที่ยังคงคุณภาพและความแข็งแรง ในราคาที่เบาที่สุด
6.Classic Series : สำหรับกลุ่มรถ Retro ที่ต้องการความ Classic แบบญี่ปุ่นแท้ๆ
7.Truck&SUV : สำหรับรถ PPV // Pick-Up รถที่มีรูน็อตล้อ 6 รู 

สำหรับหรับคนที่ต้องการเพิ่มความนุ่มนวลให้กับรถยนต์ของคุณ ผมแนะนำช่วงล่างอัพเกรดแบรนด์ Tein รุ่น Endurapro และ Kyb รุ่น New SR Special
ซึ่งทั้ง 2 รุ่นนี้จะเป็นชุดช่วงล่างอัพเกรดที่จะช่วยซับแรงกระแทกแลเก็บรอยต่อถนนได้อย่างนุ่มนวล ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการขับขี่และการโดยสาร
นอกจากจะได้รับความสบายที่มากขึ้นแล้วยังช่วยลดอาการเมื่อยล้าจากการเดินทางและลดอาการปวดหลังของคุณอีกด้วย ซึ่งช่วงล่างทั้ง 2 แบรนด์นี้จะมีความเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไรเรามาทำความเข้าใจไปพร้อมๆกันเลยครับ
เริ่มกันที่ Tein รุ่น Endurapro กันก่อนเลยเพราะแบรนด์นี้หลายๆอาจจะคุ้นเคยกันเป็นอย่างนี้สิ่งที่ช่วงล่างแบรนด์นี้จะให้คุณคือการซับแรงกระแทกได้อย่างนุ่มนวล
และลดอกาการโคลงได้อย่างสบายๆ ซึ่งถ้าคุณไม่ได้เป็นคนขับรถเร็วเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลักช่วงล่างแบรนด์นี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังแน่นอนครับ
แบรนด์ต่อมาคือ KYB รุ่น New SR Special ช่วงล่างแบรนด์นี้จะให้ฟิลลิ่งที่ใกล้เคียงกันกับแบรนด์ Tein แต่สิ่งที่แตกต่างกันคือความแน่น ความหนึบ ที่มีมากกว่า ซึ่งถ้าคุณเป็นคนชอบขับรถเร็ว ชอบเข้าโค้ง
และสนุกกับการขับขี่แต่ก็ยังอยากได้ความนุ่มสบายอยู่ช่วงล่างแบรนด์นี้จะตอบโจทย์การใช้งานของคุณได้อย่างแน่นอน
และที่สำคัญการเลือกซื้อโช้คที่ร้าน P2013 เรามีช่างผู้ชำนาญงานดูแลติดตั้ง พร้อมตั้งศูนย์ ให้คุณใช้งานช่างล่างได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วยนะครับ
สุดท้ายการอัพเกรดช่วงล่างของทั้ง 2 แบรนด์นี้ไม่ได้ผลิตเฉพาะแค่รถญี่ปุ่นเท่านั้น แต่ในปัจจุบันยังมีการผลิตครอบคลุมไปถึงรถยุโปรอีกด้วยครับ 



0

โปรโมชั่น
ถ้าพูดถึงยางญี่ปุ่นคงไม่มีใครไม่รู้จัก Toyo Tires ซึ่งยางแบรนด์นี้ไม่ได้มีดีแค่ชื่อเสียงจากการโฆษณาเท่านั้น ถ้าใครได้ลองใช้งานแล้วจะรู้ได้เลยว่ายางแบรนด์นี้มีดีอย่างไร ซึ่งวันนี้ P2013 จะพาไปเจาะลึกยางสำหรับรถยนต์ PPV (Pick-Up Passenger Vehicle)
โดยเฉพาะ ซึ่งก่อนอื่นเลยเรามาทำความรู้จักกับประเภทของยางสำหรับรถ PPV กันก่อนเลย เพราะยางแต่ละประเภทจะมีลักษณะของยางที่ถูกออกแบบมาสำหรับการใช้งานที่แตกต่างกันโดยเราจะแบ่งยางออกเป็น 3 ประเภทหลัก ๆ เลยคือ
1.ยาง Highway Terrain (H/T) ยางกลุ่มนี้เหมาะสำหรับการใช้งานในเมืองเป็นหลักโดยลักษณะของดอกยางจะเน้นไปที่การยึดเกาะถนน การรีดน้ำ + โครงสร้างยางที่มีความนุ่มและเงียบ
2.ยาง All Terrain (A/T) ยางตระกูลจะอยู่ตรงกลางระหว่าง H/T กับ M/T สามารถใช้งานในเมืองได้และลุยได้ในระดับหนึ่ง
3.ยาง Mud Terrain (M/T) ยางสำหรับการใช้งานลุยป่าและเส้นทางทุรกันดารดอกยางจะมีดอกยางขนาดใหญ่ใช้สำหรับตะกุยหินและโคลนต่างๆ
เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ควรเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งาน



โดยเราจะมาเริ่มที่ยางประเภทแรกกันก่อนเลยสำหรับยาง H/T กลุ่มนี้แบรนด์ Toyo Tires ได้ผลิตรุ่น Proxes ST3 ที่เน้นการใช้งานในเมือง
ด้วยลักษณะการออกแบบดอกยางแผ่นใหญ่ที่เน้นไปทางด้านการยึดเกาะถนนในช่วงความเร็วสูงและการลดระยะเบรกให้สั้นลงรวมไปถึงการรีดน้ำได้อย่างดีเยี่ยม และโครงสร้างของยางที่เน้นความนุ่มเงียบ
ถูกออกแบบมาให้เหมาะสำหรับการใช้งานบนถนนทางเรียบเป็นหลัก ทางหลวงทั่วไป หรืออาจจะเป็นเส้นทางขรุขระเล็กน้อย ไม่เน้นลุย
ประเภทต่อมาจะเป็นยาง A/T ซึ่งยางประเภทนี้ทางแบรนด์ Toyo Tires เองก็ได้มีการผลิตยางรุ่น Oper Country AT3 ออกมาให้เราได้ใช้งานกันโดยลักษณะการใช้งานของยางประเภทนี้จะมีดอกยางขนาดใหญ่และหนาขึ้น ตัวร่องยางจะมีความห่างจากกันเล็กน้อย
โดยที่หน้ายางยังคงสัมผัสกับพื้นถนนได้เป็นอย่างดี และยังสามารถตะกุยดินได้ระดับหนึ่ง ใช้งานได้ดีทั้งบนถนนทั่วไปและสามารถนำเอาไปใช้ลุยได้ในระดับหนึ่ง ที่ไม่ได้ทุรกันดารมาก ยางประเภทนี้เมื่อใช้บนถนนทางเรียบ
จะมีเสียงของยางและความแข็งที่มากกว่ายางประเภท H/T แต่ยังไม่ได้ถึงขนาดยาง M/T
และสุดท้ายเลยคือยางของกลุ่ม M/T ซึ่งยางกลุ่มนี้อาจจะไม่ได้รับความนิยมในบ้านเรามากเท่าไหร่นัก ด้วยภูมิประเทศไทยที่ไม่ได้มีป่า เขา หรือเส้นทางทุรกันดารมากจึงทำให้ยางกลุ่มนี้ไม่ได้ถูกนำเข้ามาจำหน่อยในบ้านเรา
แต่ทางแบรนด์ Toyo Tires เองก็ไม่ได้ทิ้งกลุ่มของคนที่อยากได้ยางประเทภนี้จึงได้มีการนำยางรุ่น Open Country Rugged Terrain (R/T) เข้ามาจำหน่ายให้เราได้เลือกใช้กันซึ่งยางรุ่นนี้จะมีโครงสร้างที่แข็งแรงและสามรถลุยได้หนักกว่ากลุ่มของยาง A/T
โดยที่เนื้อยางเองยังมีความนุ่มที่มากกว่ากลุ่ม M/T มีดอกยางขนาดใหญ่ ร่องยางลึก และห่างกันมากที่สุด เอาไว้สำหรับตะกุยดินและสลัดดินออกจากตัวยางโดยเฉพาะ สามารถนำไปลุยได้กับทุกสภาพถนนหินดินโคลน ทางขรุขระ หรือปีนป่าย
ไม่แนะนำกับการใช้งานบนถนนทั่วไป เพราะยางมีน้ำหนักมาก มีเสียงดัง และยึดเกาะถนนน้อยเมื่อวิ่งด้วยความเร็วสูง
สุดท้ายเราจะเห็นได้ว่ายางแต่ละประเภทเองก็จะมีข้อดีและข้อด้อยที่แตกต่างกันออกไป ฉะนั้นเราควรเลือกยางให้ตรงโจทย์การใช้งานมากกว่าลายของดอกยางซึ่งไม่ได้หมายความว่ายางรุ่นนี้ดี รุ่นนั้นไม่ดี
เพราะยางที่ตรงโจทย์การใช้งานของเรามากที่สุดจะเป็นยางที่ดีที่สุดครับ

ความเร็วและเส้นทางคือโจทย์การใช้งานในการเลือกยาง



โดยสรุปแล้วถ้าโจทย์ของคุณเน้นการใช้งานในเมืองเป็นหลัก ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางไกลและทำความเร็วสูงคำตอบของคุณคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก Toyo Tires Proxes ST3 อย่างแน่นนอน
แต่ถ้าโจทย์ของคุณมีการใช้งานในเมืองบ้าง ชอบท่องเที่ยวป่าเขาอุทยาน กางเต้นท์ แคมป์ปิ้งโจทย์นี้ผมแนะนำ Toyo Tires Open Country AT3 จะเหมาะสมที่สุด
และสุดท้ายถ้าคุณใช้งานต่างจังหวัดเส้นทางทุรกันดารหรือเข้าสวน เข้าป่าเป็นส่วนใหญ่ยาง Toyo Tires Open Country R/T ก็จะตอบโจทย์การใช้งานของคุณมากที่สุด
แต่สุดท้ายแล้วการเลือกยางจากหน้าตาของยางเองก็ไม่ได้ผิด ถ้าโจทย์ของคุณต้องการที่จะใส่เพื่อจัดทรงสวยๆ ไม่ได้ใช้งานด้วยความเร็วสูง แต่อาจจะต้องแลกมาด้วยความแข็งกระด้างและเสียงของดอกยางที่บดกับพื้นถนน
รวมถึงการยึดเกาะถนนที่น้อยลง แต่ถ้าคุณต้องการยางที่ตอบโจทย์ในการใช้งานงานมากที่สุดทั้งสเป็คยางที่ตรงรุ่นรถ คุณสมบัติของยาง และลักษณะการใช้งาน
สามารถปรึกษาทีมงาน P2013 เราพร้อมดูแล ให้คำปรึกษา แนะนำ การเลือกยางให้เหมาะสมกับการใช้งานของคุณได้อย่างตรงโจทย์ และที่ P2013 เองก็ยังมีสต็อกยางครบทุกรุ่น ทุกสเป็คไว้รองรับคุณอีกด้วยเช่นกันครับ
0

โปรโมชั่น
ชุดเบรก Custom ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบันคือชุดเบรกอะไร ใช่เบรกปลอมหรือไม่ ทำไมมีชื่อและหน้าตาที่ไม่เหมือนกันวันนี้ P2013 มีคำตอบให้ครับ
อันดับแรกเรามาทำความรู้จักกับปั้มเบรก Custom กันก่อนเลยว่าคืออะไร
ปั้มเบรก Custom คือปั้มเบรกคุณภาพสูงที่เราถอดออกมาจากรถซุปเปอร์คาร์กันซึ่งโดยส่วนใหญ่ผู้ผลิตชุดเบรกให้กับเหล่ารถซุปเปอร์คาร์คงหนีไม่พ้นแบรนด์ Brembo
ซึ่งเป็นบริษัทผู้ผลิตปั้มเบรกที่ใหญ่ที่สุด โดยปั้มเบรกถูกถอดออกมาจากรถรุ่นอะไรเราก็จะเรียกชื่อกันตามรถรุ่นนั้น ๆ เช่น Brembo Cayennne
ก็คือปั้มเบรกที่บริษัท Brembo ผลิตให้กับรถยนต์แบรนด์ Porsche รุ่น Cayenne ออกมาจากโรงงาน หรือ อีกหนึ่งรุ่นที่ได้รับความนิยมคือปั้มเบรก Brembo CTS-V
ซึ่งก็คือปั้มเบรกที่บริษัท Brembo ผลิตให้กับรถยนต์แบรนด์ Cadillac รุ่น CTS-V นั่นเอง โดยปั้มเบรกแต่ละรุ่นก็จะมีหน้าตาและขนาดที่แตกต่างกันออกไปตามที่ผู้ผลิตกำหนดครับ
ชุดเบรก Custom คือเบรกแท้มือ 2


หลังจากที่เราได้ปั้มเบรกที่เป็นวัตถุดิบตั้งต้นมาแล้ว เราจะมาดูขั้นตอนในการ Custom กันเลย หลังจากที่เราเลือกรุ่นปั้มเบรกได้แล้ว
สิ่งแรกที่ต้องทำเลยคือการเช็คสภาพของปั้มเบรกทุกชิ้นเพื่อให้อยู่ใสสถานะพร้อมใช้งานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ โ
ดยจะเริ่มตั้งแต่การเช็คสภาพโครงสร้าง ระบบลูกสูบ และซีลยางต่างๆ พอเราได้ปั้มเบรกที่สมบูรณ์แล้วขั้นตอนต่อไป
เราจะนำปั้มเบรกไปทำความสะอาดและทำสีรวมถึงโลโก้ตามที่เราต้องการให้สวยงาม ก็จะออกมาเป็นปั้มเบรก Custom เป็นที่เรียบร้อย
ตรงจุดนี้เราจะเห็นได้เลยว่าปั้มเบรก Custom จะเป็นปั้มที่ถอดมาจากรถซุปเปอร์คาร์ ฉะน้้นตัวปั้มเองจะเป็นมือสองของแท้ ไม่ใช่มือ1 และไม่ใช่ปั้มปลอมที่สร้างขึ้นมาใหม่
และจุดนี้ตัวปั้มเองอาจจะมีร่องรอยบ้างเล็กน้อยเพราะเป็นมือ2 และเพื่อไม่ให้หลายๆ คนโดนหลอกสภาพโดยรวมของปั้มก็จะเป็นอีกองค์ประกอบที่จะพอบอกเราได้ว่าเป็นปั้มแท้หรือปลอม
เพราะถ้าตัวปั้มเบรกมีความใหม่มากๆ เหมือนของใหม่มือ1 อาจจะเป็นของปลอมก็เป็นได้ ซึ่งหลังจากที่เราได้ตัวปั้มมาแล้ว เราก็จะมาต่อกันที่จานเบรก
ตรงนี้เองก็จะมีหลากหลายขนาดให้ได้เลือกใช้โดยเราจะต้องคำนึงถึงปั้มเบรกที่เราเลือกและรุ่นรถที่จะนำมาติดตั้งประกอบด้วย เพราะจานเบรกที่จะสามารถจับคู่กับปั้มเบรกได้อย่างพอดีทั้งขนาดและความหนาจะมีค่อนข้างจำกัด
ซึ่งโดยส่วนใหญ่ทางแบรนด์ผู้ผลิตปั้มเบรกเองก็จะมีสเป็คจานเบรกที่เหมาะสมให้เราได้เลือกใช้อยู่ประมาณหนึ่ง
ซึ่งอาจจะไม่ได้ผลิตตรงกับขนาดที่เราต้องการ เช่น ปั้มเบรก Brembo รุ่น Cayenne สามารถจับคู่กับจาน brembo ขนาด 348mm. ที่อย่างพอดีทั้งขนาดและความหนา
จึงเกิดเป็นโจทย์ที่บางผู้ผลิตนำจานเบรกแบรนด์อื่นๆ มาจับคู่แทนเพื่อให้ได้ขนาดที่ต้องการดังนั้นการเลือกขนาดจานที่ใหญ่อาจจะไม่ได้หมายถึงคุณภาพที่ดีขึ้น
และตรงจุดนี้เองก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ราคาเบรก Custom แต่ละที่มีราคาไม่เท่ากัน พอเราได้ปั้มเบรก+จานเบรกมาแล้ว
สิ่งต่อมาที่จะขาดไม่ได้เลยคือ ผ้าเบรก ซึ่งผ้าเบรกก็จะยึดตามรุ่นของปั้มเบรกของเราอีกเช่นกัน ถ้าเราใช้ปั้มเบรก Brembo รุ่น Cayenne ผ้าเบรกก็ต้องเป็นตรงรุ่นสำหรับปั้มเบรก Cayenne เช่นกัน
แต่ผ้าเบรกสำหรับ Porsche Cayenne เองก็ยังมีอีกหลากหลายแบรนด์ให้เราได้เลือกใช้ ตรงนี้เราสามารถเลือกผ้าเบรกให้เหมาะสมกับการใช้งานของแต่ละบุคคลได้เลย
และสิ่งชุดท้ายที่จะประกอบทุกอย่างให้เข้ากับรถยนต์คือ ขาเบรกและฮับจานนั่นเอง ซึ่ง 2 ชิ้นนี้จะเข้าสู่กระบวนการ Custom อย่างเต็มรูปแบบเพราะ 2 สิ่งนี้จะเป็นตัวกำหนดระยะของชุดเบรกทั้งหมด
ทั้งพื้นที่ติดตั้ง ความลึกของชุดเบรก รวมถึงระยะของผ้าเบรกที่ต้องสัมผัสกับจานเบรกได้อย่างเต็มหน้าและอยู่ตรงกลางแบบพอดี เสร็จแล้วเราก็จะมาเป็นชุดเบรก Custom ซึ่งยังไม่หมดเพียงเท่านี้การที่ชุดเบรกสามารถรองรับความร้อนและแรงดันได้มากขึ้น
สิ่งที่ควรจะอัพเกรดควบคู่กันไปด้วยก็คือสายถักเบรกและน้ำมันเบรก ที่สามารถทนต่ออุณหภูมิความร้อนได้มากขึ้นเพี่อให้เราใช้งานชุดเบรก Custom ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพอีกด้วย
มาถึงตรงนี้เราจะเห็นรายละเอียดทุกส่วนของชุดปั้มเบรก Custom ทั้งการเลือกรุ่นปั้มเบรกและการเลือกอุปกรณ์ต่างๆ ที่มาใช้ในการ Custom ซึ่งวัตถุดิบทุกชิ้นของแต่ละแบรนด์ จะมีราคาที่ไม่เท่ากันจึงเป็นสาเหตุที่ทำให้ชุดเบรก Custom แต่ละที่มีราคาที่แตกต่างกันครับ

0

โปรโมชั่น

Carbon Fiber วัสดุคล้ายพลาสติก ที่ถูกถักทอขึ้นเป็นรูปทรงต่าง ๆ จริง ๆ แล้วมันคืออะไรถูกสร้างมาจากอะไรเราไปชมกันเลยครับ โดยวัสดุ Carbon Fiber ถูกคิดค้นขึ้นโดย Thomas Edison ในปี ค.ศ. 1860 เป็นการนำฝ้ายหรือเศษไม้ไผ่ไปอบที่อุณภูมิสูงจนได้ออกมาเป็นใยคาร์บอน ซึ่งในช่วงแรกถูกคิดค้นมาเพื่อใช้ผลิตหลอดไฟฟ้าเท่านั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1958 ได้มีการนำมาต่อยอดให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นไปอีกแต่ก็ยังไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบันเพราะในวัสดุ 1 ชิ้นนั้นจะมี Carbon Fiber อยู่เพียงแค่ประมาณ 20% เท่านั้นทำให้วัสดุชนิดนี้มีความแข็งแรงต่ำ ต่อมาในปี ค.ส. 1960 ได้มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีกขั้นโดยในปีนี้วัสดุ 1 ชิ้นจะมี Carbon Fiber ผสมอยู่ประมาณ 55% ซึ่งก็ยังไม่แข็งแรงเท่า Carbon Fiber ในปัจจุบันอยู่ดี และในปี ค.ศ. 1963 ที่กระบวนการผลิดที่ถูกพัฒนาขึ้นจนวัสดุ 1 ชิ้นมีปริมาณ Carbon Fiber สูงถึง 80% และได้รับการจดสิทธิบัตรโดยกระทรวงกลาโหมแห่งสหราชอาณาจักร

กว่าจะมาเป็น Carbon Fiber วัสดุที่เข้ามาปฏิวัติทุกวงการอุตสาหกรรม


Carbon Fiber เริ่มต้นจากวัสดุ โพลิอะคลิโลไนไทรล์  (Polyacrylonitrile) หรือเรียกสั่นๆว่า “PAN” นำมาผ่านความร้อนให้ละลายและยืดออกเป็นเส้นใย จากนั้นจะถูกลำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิประมาณ 1,000° – 3,000° องศาเซลเซียส (ร้อนประมาณครึ่งนึงของดวงอาทิตย์) และนี่คือจุดสำคัญภายในเตาอบนั้นจะไม่มีออกซิเจน และเมื่อไม่มีออกซิเจน ทำให้เส้นใยดังกล่าวจะไม่ถูกเผาไหม้ แต่ความร้อนจะเข้าไปทำให้เส้นใยแข็งแรงขึ้น และเหลือไว้เฉพาะเส้นใย Carbon Fiber ที่เกือบจะบริสุทธิ ซึ่งจะมีความเบาบางและแข็งแรง เส้นใยไฟเบอร์ที่ได้นั้นจะมีความหนาน้อยกว่าเส้นผมของมนุษย์แต่จะมีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กกล้าหลายเท่า และมีน้ำน้ำหนักที่เบาเทียบเท่าเส้นผม เมื่อเส้นใยบาง ๆ เหล่านี้ถูกถักทอเข้าด้วยกันจนได้เป็นผ้าและประสานเข้ากับ Polymer (พอลิเมอร์ : สารสังเคราะห์ที่ใช้ขึ้นรูปพลาสติก) โดยส่วนใหญ่จะเป็น Epoxy ( อีพ็อกซี : กาวที่ใช้ยึดวัสดุพลาสติก) แบบ Resin (เรซิน : พลาสติกเหลวที่ใช้งานการขึ้นรูปชิ้นงาน) ซึ่งทำหน้าที่ยึดให้ผ้าคาร์บอนไฟเบอร์นั้นคงรูปทรงต่างๆตามที่วิศวกรต้องการก็จะกลายเป็นวัสดุ Composit ( คอมโพสิต : วัสดุที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานวัสดุสองชนิดเข้าไว้ด้วยกัน ) ดังนั้น Carbon Fiber คือส่วนประกอบของวัสดุคอมโพสิตชนิดนึง ซึ่งถ้าจะเรียกอย่างถูกต้องจริงๆแล้ว ต้องเรียกว่า Carbon Fiber Reinforced Polymer (โพลิเมอร์เสริมเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์) “CFRP” หรือ Carbon Fiber ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม Carbon Fiber จึงได้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการบินและการอวกาศ ยังไม่หมดเท่านั้นความแข็งแรงของ Carbon Fiber จะเกิดขึ้นในแนวตั้งฉากของเส้นใยเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าความแข็งแรงหรือความยืดหยุ่นของวัสดุ Carbon Fiber สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยขึ้นอยู่กับทิศทางการออกแบบและเรียบเรียงลักษณะของโครงสร้างนั้นๆ ซึ่งตรงจุดนี้เองทำให้วิศวกรสามารถควบคุมระดับของความแข็งแรงให้เหมาะสมกับรูปแบบงานที่จะนำไปใช้ได้ จะแตกต่างจากโลหะทั่วไปที่ไม่สามารถทำได้ แม้แต่ไทเทเนียมหรือแม็กนีเซียมเองก็ไม่สามารถทำได้

และนี่คือคุณสมบัติของ Carbon Fiber


กลับมาที่อุสาหกรรมยานยนต์ปัจจุบัน Carbon Fiber ได้ถูกนำมาใช้ผสมผสานกับชิ้นส่วนอื่นๆของรถยนต์มากยิ่งขึ้นด้วยความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบานั้นถูกพัฒนาให้สามารถรองรับแรงกดอากาศและการบิดตัวของตัวถังรถยนต์ได้เป็นอย่างดีจนสามารถนำไปผลิตเป็น Chassis (แชสซี : โครงสร้างตัวถังรถยนต์) ที่เราได้เห็นรถยนต์หลากหลายบริษัทนำ Carbon Fiber มาใช้เป็นวัสดุหลักในการสร้างรถยนต์ซึ่งคุณสมบัติของ Carbon Fiber ที่แข็งแรงและเบากว่าไทเทเนียมนั้นทำให้รถยนต์มีสมถรรนะที่สูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวด้วยน้ำหนักของตัวรถที่เบาลงและกำลังของเครื่องยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เราได้เห็นอัตราส่วนของแรงม้าต่อน้ำหนักที่สูงในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน Carbon Fiber จึงกลายเป็นวัสดุที่เข้ามาปฏิวัติวงการอุสาหกรรมยานยนต์จนถึงปัจจุบัน

ตอนต่อไปเราจะพาไปชม Cabon Fiber ที่สวยงามในแต่ละลาย แต่ละรูปแบบ ที่ภายใต้ความสวยงามที่เราเห็นอยู่นั้นวิศวกรได้ซ่อนความลับและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกผสมเข้าไปใน Carbon Fiber ใน EP. ต่อไปครับ
ถ้าไม่ยากพลาดความรู้ สาระดี ๆ และเทคนิดต่าง ๆ อย่าลืมกดติดตาม P2013 ทุกช่องทางไว้ด้วยนะครับ

Facebook : facebook.com/PorTanapat.13
Youtube : P2013
Tik Tok : https://www.tiktok.com/@p2013bynoke
LINE ID : @P2013
Instagram : Por.2013
เว็บไซต์ : p2013.co

0

โปรโมชั่น

Ohlins Racing AB ช่วงล่างที่อยู่คู่กับวงการมอเตอร์สปอร์ตมาอย่างยาวนานกว่า 30ปี และเป็นผู้ยกเทคโนโลยีขั้นสูงจากสนามแข่งขันมาให้เราได้ใช้งานจริงบนท้องถนน ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี มีเทคโนโลยีอะไรที่ Ohlins Racing AB ผลิตออกมาให้เราได้ใช้กันบ้าง มาย้อนประวัติดูพร้อมกันเลย ในปี ค.ศ. 1970 ชายหนุ่มที่มีชื่อว่า Kenth Ohlins (เคนท์ เออห์ลินส์) ได้ใช้เวลาว่างส่วนมากไปกับกีฬาทีเขาชื่นชอบที่สุด นั่นก็คือ Motocross และได้สังเกตุอย่างละเอียดทำให้ Kenth Ohlins เริ่มค้นพบรายละเอียดที่สำคัญ ซึ่งก็คือจักรยานยนต์แบบ Motocross นั้นมีกำลังเครื่องยนต์มากเกินกว่าที่ระบบกันสะเทือนจะรับไหว ทำให้ Kenth Ohlins ได้รู้ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับจักรยานยนต์แบบ Motocross นั้นสามารถสร้างได้ด้วยการปรับปรุงระบบล้อให้รองรับกับกำลังของเครื่องยนต์ให้ได้มากที่สุด จึงได้เริ่มก่อตั้งบริษัท Ohlins Racing AB ในปี ค.ศ. 1976 และใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น Ohlins Racing AB ก็ได้รับชัยชนะจากรายการแข่งขันระดับโลกเป็นครั้งแรก และดำเนินธุรกิจมานานกว่า 35 ปี จนถึงทุกวันนี้ Ohlins Racing AB ก็ยังไม่หยุดที่จะค้นหาความสมบูรณ์แบบและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของโช้คอัพ Ohlins ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่บริษัทยังคงให้ความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้



“DFV” 1 ในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ Öhlins

Ohlins DFV (Dual Flow Vavle) คือรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ Ohlins โดยจะมีวาล์วโช้คสองชุดที่แยกการทำงานกันระหว่างช่วง Bump (ช่วงยุบตัว) ช่วยซับแรงกระแทกเมื่อโช้คมีการยุบตัว และ Rebound (ช่วงคืนตัว) ช่วยลดอาการโคลงเคลงเมื่อโช้คมีการคืนตัว อยู่ภายในกระบอกที่โช้ค ดังนั้นการแยกการทำงานระหว่าง Bump และ Rebound จะช่วยเพิ่มความนุ่มนวลในการซับแรงกระแทกและช่วยให้ล้อนั้นสัมผัสกับพื้นถนนได้มากที่สุด การแยกวาล์ว ช่วง Bump และ Rebound นั้นจะช่วยให้วาล์วไม่ต้องรับภาระที่หนักเกินไปและช่วยให้โช๊คอัพมีการตอบสนองที่รวดเร็ว เพราะการแยกของเหลวระหว่างแก๊สกับน้ำมัน จะช่วยถ่ายเทความร้อนที่จะทำให้แรงดังในโช้คเปลี่ยนไปเมื่อมีการใช้งานต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน และชิ้นส่วนทุกชิ้นที่ Ohlins นำมาผลิตโช้คจะถูกออกแบบอย่างสวยงามและลบเหลี่ยมลบคมโดยทีมวิศวกรออกแบบตัวโช้คตั้งแต่ภายนอกจนถึงภายในให้เหมาะสมกับรถรุ่นนั้น ๆ แม้แต่น็อตตัวเดียวที่นำมาผลิตโช้คนั้นยังต้องผ่านมาตราฐานการตรวจสอบ ก่อนนำมาเป็นส่วนประกอบของโช้ค ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับโรงงานผลิตอะไหร่รถ Formula 1




ปัจจุบัญโช้คอัพ Ohlins ได้มีการพัฒนาโช้คสำหรับรถยนต์ SUV และ PPV ซึ่งใช้ระยะเวลามากกว่า 3 ปี ในการทดสอบถนนทั่วโลก เพื่อศึกษาข้อมูลในทุกภูมิประเทศให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งความคงทนของตัวโช้ค และการใช้งานที่สามารถตอบสนองได้ทุกความต้องการ ซึ่งโรงงานโช้คอัพ Ohlins ในประเทศไทยได้มีการพัฒนาช่วงล่างให้กับรถยนต์ PPV ถึง 4 รุ่น ได้แก่ Toyota Fotuner, Toyota Revo, Ford Everest, Ford Ranger และนี่คืออีกหนึ่งจุดเด่นของโช้คอัพ Ohlins ซึ่งไม่ว่าคุณจะซื้อโช้คอัพ Ohlins ที่ประเทศใดก็ตามก็จะได้ฟิลลิ่งการขับขี่แบบเดียวกัน

สามารถติดต่อได้ที่
Facebook : facebook.com/PorTanapat.13
Youtube : P2013
หรือช่องทางการโทรได้ที่หน้าเว็บไซต์ : p2013.co
0

เคล็ดลับ

Akrapovič ท่อไอเสียที่เราได้เห็นเหล่าซูเปอร์คาร์และซูเปอร์ไบค์ระดับ High Performance ติดตั้งกันตั้งแต่ออกมาจากโรงงานและได้เห็นผ่านตากันแทบจะทุกสนามแข่งขันจนหลายคนเริ่มสงสัยถึงความเป็นมาของท่อไอเสียแบรนด์นี้ว่ามีดีอะไร? และชื่อ Akrapovič ถูกตั้งมาจากอะไร? วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับท่อไอเสีย Akrapovič กันแบบเจาะลึกตั้งแต่ที่ Akrapovič จะมาผลิตท่อไอเสียให้เราได้เห็นกันจนทุกวันนี้ โดยบริษัท Akrapovič ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยคุณ Igor Akrapovič ชาวสโลวีเนีย (Slovenia) ที่รวบรวมความรู้ความสามารถจากสนามแข่งขันรถจักรยานยนต์มากกว่า 10 ปี มาใช้ในการปรับแต่งจูนเครื่องยนต์และต้องการข้ามขีดจำกัด ด้วยการระบายความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ให้ออกมาได้อย่างรวดเร็วที่สุด จึงได้เริ่มคิดค้นและผลิตท่อไอเสียเป็นของตัวเองโดยใช้นามสกุลของตัวเอง Akrapovič มาก่อตั้งเป็นชื่อแบรนด์ในปี ค.ศ. 1991 โดยเน้นไปที่การผลิตท่อไอเสียสำหรับเครื่องยนต์ 4 จังหวะเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่คุณ Igor  Akrapovič ชื่นชอบมากที่สุด และในปี ค.ศ. 1993 ท่อไอเสีย  Akrapovič ใบแรกก็ได้ลงสู่สนามแข่งขันกับทีม Kawasaki Deutschland ในราย Pro Superbike Championship และจากหลังจากนั้นมาก็ได้เป็นผู้ให้การสนับสนุนเรื่องท่อไอเสีย กับทีมแข่งขันรถจักรยานยนต์ต่างๆ อย่าง Honda, Yamaha, Kawasaki, Suzuki, Ducati และได้นำทีมแข่งขันต่างๆคว้าแชมป์ในอีกหลายๆรายการ ซึ่งทำให้ระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี จากโรงงานเล็กๆของ Akrapovič ก็สามารถเติบโตขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด และยังเป็นที่ยอมรับจากนักแข่งขันรถจักรยานต์ยนต์ทั่วโลกอีกด้วยซึ่งในขณะเดียวกันกับที่โรงงานครบรอบ 10 ปี Akrapovič ก็ได้แชมป์อันดับ 1 ไปครองด้วยฝีมือของ Colin Edwards ในทีมแข่งขัน Castrol Honda SP-01 และต่อจากนั้นก็ได้แชมป์ AMA และ All Japan Superbike Championship ตามมาติดๆ และในปี ค.ศ. 2002 Akrapovič ก็มาถึงก้าวที่สำคัญที่สุดคือได้เข้าร่วมกันแข่งขันรายการ MotoGP ในทีมแข่งขัน Honda, Kawasaki และ Aprilia และในปี ค.ศ. 2007 ทางบริษัทก็ได้เปลี่ยนโลโก้จากอันเก่ามาเป็นโลโก้ปัจจุบันอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ และเริ่มผลิตท่อไอเสียสำหรับรถยนต์ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นมา



ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรท่อไอเสีย Akrapovič ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในจักรยานยนต์และรถยนต์

ปัจจุบัน Akrapovič ยังคงไม่หยุดที่จะพัฒนาชุดท่อไอเสีย High Perforomance โดยจะแบ่ง Product ออกเป็น 2 รายการผลิตดังนี้
1 Racing Line ท่อไอเสียกลุ่มนี้จะใช้วัสดุ Titanium เกรดที่ดีที่สุด มาผลิตเพื่อช่วยรีดสมรรถนะของเครื่องให้ออกมาได้มากที่สุดและลดน้ำหนักของท่อไอเสียให้เบาที่สุด ซึ่งการติดตั้งท่อไอเสียกลุ่มนี้ทางโรงงาน Akrapovič แนะนำให้มีการปรับจูนเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับชุดท่อไอเสียเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มแรงบิดและแรงม้าของเครื่องยนต์ให้ออกมาได้มากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมาคือเสียงที่ดังเกินกฎหมายกำหนดและไอเสียปริมาณมาก ท่อกลุ่มนี้จึงถูกจำกัดการใช้งานไว้ในสนามแข่งขันเท่านั้น



2 Evolution Line ท่อไอเสียที่ถูกผลิตขึ้นสำหรับรถ Performance Car เน้นการใช้งงานบนท้องถนนช่วยเพิ่มสมถรรนะของเครื่องยนค์ให้ดีขึ้นไปอีกขั้นโดยไม่จำเป็นต้องมีการปรับจูนเครื่องยนต์ซึ่งท่อไอเสียกลุ่มนี้จะเป็นรุ่น Flagship ของทาง  Akrapovič ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดซึ่งถูกผลิตขึ้นด้วยวัสดุ Titanium ให้โทนเสียงที่มีความนุ่ม ทุ้ม มีมิติและไม่ดังมากจนเกินไปและยังมีรุ่นที่ถูกผลิตด้วยวัสดุ Stainless Steel สำหรับคนที่ต้องการท่อไอเสีย Akrapovič ในรุ่นเริ่มต้นที่มีราคาไม่สูงมากจนเกินไปอีกด้วย


ถึงท่อไอเสีย Akrapovič จะไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเป็นร้อยปีแต่ด้วยความสามารถของคุณ Igor Akrapovič เองที่ได้ผลิตท่อไอเสีย Akrapovič ออกมาได้เป็นอย่างดีและมีประสิทธิภาพทำให้แบรนด์ Akrapovič ถูกกล่าวขานในกลุ่มของคนที่รักความเร็วและทีมแข่งขันรวมไปถึงรายการแข่งขันระดับโลกทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์อยู่ตลอดเวลามาถึงตรงนี้ท่อไอเสียแบรนด์ Akrapovič คงได้เข้าไปอยู่ในใจใครหลายๆคนและยกให้ท่อไอเสีย Akrapovič เป็นที่ 1 ในใจอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกท่อไอเสียให้กับรถยน์ของเราอาจจะต้องคำนึงถึงการใช้งาน ประเภทของท่อไอเสีย และดีไซน์ที่สวยงาม เพื่อให้ตรงกับโจทย์การใช้งานของเราซึ่งแน่นอนว่าท่อไอเสียที่ออกจากโรงงาน Akrapovič ทุกใบได้ผ่านการทดสอบจากการใช้งานจริงทั้งความทนทานของวัสดุ การประกอบ รวมไปถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทดสอบแรงม้าจริงบน Dynamometer (ไดโน่) เพื่อให้ท่อไอเสียทุกใบสามารถรีดประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ออกมาได้อย่างสูงสุด

สามารถติดต่อได้ที่
Facebook : facebook.com/PorTanapat.13
Youtube : P2013
หรือช่องทางการโทรได้ที่หน้าเว็บไซต์ : p2013.co

0

โปรโมชั่น

ก่อนจะเข้าเรื่องล้อเรามาทำความรู้จักบริษัท BBS ผู้ผลิตล้อก้าน Y ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากจะได้มาครอบครองกัน เริ่มต้นบริษัทถูกก่อตั้งโดย 2 หุ้นส่วน คือ Heinrich Baumgartner และ Klaus Brand แห่งเมือง Schiltach in the Black Forest ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในเขตป่าดำ ประเทศเยอรมนี  โดยนำอักษรขึ้นต้นของ นามสกุล มารวมกับ ชื่อเมือง จึงเกิดเป็นชื่อแบรนด์ Baumgartner Brand Schiltach หรืออักษรย่อก็คือ “BBS” ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นเอง โดยในช่วงแรกของการก่อตั้งบริษัท BBS ยังไม่ได้ผลิตล้อรถยนต์แต่อย่างใด แต่เป็นการผลิตพลาสติกชิ้นส่วนที่ใช้ในการประกอบตัวถังรถยนต์จนถึงปี 1972 บริษัท “BBS” ได้เริ่มผลิตล้ออกมาเป็นครั้งแรกแต่ยังไม่ได้วางจำหน่ายให้บุคคลทั่วไปได้เป็นเจ้าของแต่เป็นการผลิตเพื่อการแข่งขัน Formula 1 (F1) โดยเฉพาะล้อชุดแรกถูกผลิตขึ้นแบบ 3 ชิ้น โดยจะแบ่งออกเป็น ก้านล้อที่จะถูกติดตั้งเข้ากับตัวรถ และขอบด้านใน + ขอบด้านนอกที่จะสามารถกำหนดความกว้างของล้อได้เองตามที่ทีมแข่งขันต้องการโดยมีจุดเด่นของล้อคือ น้ำหนักที่เบา แข็งแกร่ง และสามารถเปลี่ยนขนาดได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้เหมาะสมกับการแข่นขันในสนามนั้นๆ และได้รับชัยชนะในการแข่งขัน Formula 1 World Championship (F1) ส่งผลให้ล้อ BBS ได้เป็นที่ยอมรับในวงการมอเตอร์สปอร์ต และทำให้บริษัทขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1980 BBS ได้ถูกวางจำหน่ายสู่สาธารณะเป็นชุดแรก

ปัจจุบันล้อ BBS แบ่งการผลิตออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ



1.BBS Forged Line ถูกผลิตขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ล้อในกลุ่มนี้จะเน้น Performance เป็นหลักทำให้ล้อมีน้ำหนักเบาที่สุด เหนียวที่สุด แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าจะมาพร้อมกับค่าตัวที่สูงที่สุดเช่นกันครับ
รุ่นที่ได้รับความนิยมของล้อกลุ่มนี้
BBS RI-D
BBS RI-S
BBS FI-R
2.BBS Performace Line ถูกผลิตขึ้นที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นล้อที่ผลิตแล้วทำให้ BBS กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เพราะเป็นการผลิตแบบ Flow Forming ที่มีความเบาและแข็งแรงมาก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ รถ Formula 1 ( F1) เลือกใช้อีกด้วย โดย กลุ่มนี้จะเป็นล้อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดครับ
รุ่นที่ได้รับความนิยมของล้อกลุ่มนี้
BBS CI-R
BBS CH-R
BBS CC-R
3.BBS Design Line ถูกผลิตขึ้นที่ประเทศเยอรมนีเช่นเดียวกันแต่จะเป็นการผลิตแบบ Casting Wheels ตอบโจทย์ ผู้ใช้งานเริ่มต้นที่อยากครอบครองล้อ BBS เป็นชุดแรกในราคาที่ไม่สูงมากจนเกินไปครับผม
รุ่นที่ได้รับความนิยมของล้อกลุ่มนี้
BBS SR
BBS XR
BBS SX




โดยลายล้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดของล้อ BBS ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้เป็นอย่างดีคือล้อที่มีลักษณะเป็นก้าน Y (Y Spoke) และถ้าเราสักเกตกันดีๆจุดเริ่มต้นของล้อ BBS จะเป็นการนำก้าน Y จำนวนมากมาเรียงต่อกันจนครบวงล้อซึ่งนอกจากจะได้ความสวยงามแล้วโครงสร้างของล้อลายนี้ยังเพิ่มความแข็งแรงและการกระจายแรงกระแทกได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งสุดท้ายแล้วการเลือกใช้ล้อที่ดีมีคุณภาพไปติดตั้งกับรถที่คุณรักนอกจากนะได้ความสวยงามแล้วยังได้ความปลอดภัยในการใช้งานอย่างดีที่สุดอีกด้วย

สามารถติดต่อได้ที่
Facebook : facebook.com/PorTanapat.13
Youtube : P2013
หรือช่องทางการโทรได้ที่หน้าเว็บไซต์ : p2013.co
0

ว่าด้วยเรื่องของเบรกซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หลายๆ คนมีมุมมองที่อาจจะแตกต่างไปสำหรับการแต่งรถ ว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองหรือไม่ได้มีความจำเป็นเพราะของเดิมก็ใช้ได้ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันมีของที่ดีกว่า แต่จะทำไปทำไมให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น แต่สำหรับบางคนที่เคยอัพเกรดระบบเบรกเพราะเคยเจอเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องใช้เบรกแบบกดกันจนตัวโก่งในยามฉุกเฉิน ขอแค่ครั้งเดียวแล้วเบรกอยู่ก็มองว่า จ่ายเท่านี้ ยังไงก็คุ้ม แลกกับรถไม่ต้องชน ไม่เสียเวลาทำรถ รถไม่มีตำหนิในวันขายรถต่อ ทุกคนบนรถปลอดภัย อันนี้ก็สุดแล้วแต่ว่าใครจะให้ความสำคัญกับตรงนี้หรือไม่

เบรกปัจจุบันมีให้เลือกทำกันหลายแบบ แต่ถ้าอยากให้รถเบรกดีขึ้นมันมีวิธีง่ายๆ แค่ไม่กี่อย่างแต่ระยะหยุดรถสั้นลงแบบรู้สึกได้อย่างแน่นอน อ้างอิงจากข้อมูลทางเทคนิคของของที่ใส่และประสบการณ์ใช้งานจริง

1. ผ้าเบรก : หลักๆ Product ส่วนนี้ถูกแบ่งการใช้งานออกเป็น 2 ประเภทง่ายๆ สำหรับผู้ใช้งานส่วนใหญ่ คือ

a. รถบ้าน ขับใช้งานปกติสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ชอบให้เบรกมีเสียง ฝุ่นจากผ้าเบรกน้อย ต้องการระยะเบรกที่สั้นกว่าผ้าเบรกที่ติดรถออกมาจากศูนย์และที่สำคัญราคาใกล้เคียงไม่แตกต่างจากของศูนย์บริการหรือของติดรถมากนัก ซึ่งถ้าจะให้จัดของที่เหมาะสำหรับการใช้งานแบบนี้ ก็น่าจะต้องเป็น

1. Nexzter Mu Spec, Temp 500, Friction 0.40-0.45

2. Dixcel EC, Temp 450, Friction 0.35-0.50

3. Dixcel Type M, Temp, 500 Friction 0.39-0.52

b. รถซิ่ง ขับเร็ว เบรคต่อเนื่องบ่อย เบรกลึก ใช้เบรกหนัก ซึ่งผ้าเบรกสำหรับการใช้งานแบบนี้มักจะต้องทนอูณหภมิสูง มีค่า Friction หรือเสียดทานจากการสัมผัสระหว่างผ้าเบรกกับจานเบรกสูงๆ แต่ก็จะมีผลกระทบตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย เช่น มีเสียงบ้างในการใช้งานความเร็วต่ำ ผ้าเบรกมีฝุ่นค่อนข้างเยอะกว่าของเดิม

1. Nexzter Pro Spec, Temp 600, Friction 0.43-0.48

2. Dixcel ES, Temp 600, Friction 0.34-0.48

3. Dixcel Type S, Temp, 700 Friction 0.36-0.54

2. จานเบรก : โดยปกติแล้วสำหรับการใช้งาน เรามักจะเปลี่ยนผ้าเบรกกันประมาณ 2 ชุด จานก็จะเริ่มบาง เนื่องจากตอนเปลี่ยนผ้าเบรกชุดแรก จานอาจจะมีรอยไหม้หรือมีการสึกที่ไม่เท่ากันจากการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการเจียจานเบรกให้กลับมาใกล้เคียงกับจานใหม่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อมีการเจียจานครั้งที่ 2 จานก็จะเริ่มบางลงเรื่อยๆ จนไม่เหมาะที่จะใช้งานต่อไปเพราะความหนาลดลงและอาจจะส่งผลให้จานคดได้ง่ายขึ้นหรือบางเคสก็บางจนแตกไปเลย โดยปัจจุบันนี้มีจานให้เลือกใช้งานหลักๆ 2 ประเภท

a. จานเบรกทดแทนของเดิม ซึ่งราคาไม่แพงแต่ประสิทธิภาพดีกว่าของติดรถ เพื่อเป็นทางเลือกให้คนที่ไม่อยากเจียจาน แต่ก็ไม่อยากเปลี่ยนจานเบรกที่มีราคาแพงเกินความจำเป็นและเกินการใช้งาน

1. Brembo

2. TRW

3. Nexzter

b. จานเบรกอัพเกรด

1. Dixcel SD Type

3. สายถักเบรก : ด้วยของเดิมติดรถออกมาจากศูนย์โดยส่วนใหญ่มักจะใช้สายเบรคที่ทำจากยางซึ่งเป็นวัสดุที่ให้ตัวได้ นิ่ม และมีความยืดหยุ่นมากกว่าทำให้ เมื่อมีการใช้งานไปจนอูณหภูมิสูง หรือมีแรงดันในระบบเพิ่มขึ้น จะทำให้สายเบรกมีการขยายตัวได้ ซึ่งจะส่งผลต่อความไวความเสถียรและประสิทธิภาพของการเบรกโดยตรง เมื่อเราเปลี่ยนเป็นสายถัก สายเบรกจะไม่มีการขยายตัวจากการใช้งานอีกต่อไป ทำให้เบรกจากเท้าที่ส่งน้ำมันไปหาผ้าเบรกมีการตอบสนองที่ไวขึ้น ในช่วงเสี้ยววินาทีของการหยุด ระยะเบรกก็จะสั้นลงตามไปด้วยจากการตอบสนองส่วนนี้ที่ไวขึ้น รวมถึงความเสถียรของแรงเบรกและการทนแรงดันสูงจากการเบรก ซึ่งแบรนด์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและผ่านการทดสอบใช้งานจนถือได้ว่ามีประสิทธิภาพดีในระยะยาวคือ แบรนด์ Hel

4. น้ำมันเบรก ปัจจุบันเบอร์น้ำมันเบรกที่นิยมใช้กันจะเป็น Dot 5.1 ซึ่งมีจุดเดือดและจุดเดือดชื้นสูงกว่าของเดิมติดรถ และให้ ของการเบรกเหมาะสมกับการใช้งานทั่วไปจนถึงความเร็วสูงบนถนน คือ ไว แต่หัวไม่ทิ่ม ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับระบบน้ำมันคือการไล่น้ำมันเบรกด้วย

5. เปลี่ยนปั๊มเบรค (Caliper) เดิมปั๊มติดรถส่วนใหญ่จะเป็นปั๊มที่มีลูกสูบลูกใหญ่ลูกเดียว ซึ่งการอัพเกรดโดยการเปลี่ยนปั๊มส่วนมากจะเป็นการเปลี่ยนเพื่อเพิ่มจำนวนลูกสูบ เพื่อให้มีแรงกดไปที่ผ้าเบรกมากขึ้น เสถียรขึ้น และยังได้ของแถมคือเรื่องความสวยงามมาเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งการเปลี่ยน Caliper ก็จะมี 2 แบบ หลักๆ คือ ปั๊ม Re-built แท้ และปั๊มแท้ใหม่มือ 1 ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ขนาดล้อว่าใส่กับเบรครุ่นที่เราเลือกได้หรือไม่

จากชุดระบบอัพเกรดเบรกทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าชุดไหนหรือยี่ห้อไหนดีกว่ากัน แต่ต้องเลือกดูว่าลักษณะการใช้งานของเราเป็นแบบไหนแล้วเลือกของให้ถูกต้องเหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ความเร็วในการขับขี่ งบประมาณ ฝุ่นมากฝุ่นน้อย เสียง ระบะเบรก น้ำหนักบรรทุกที่ใช้งานประจำ เนื่องจากอุปกรณ์แต่ละอย่างที่ใส่เข้าไป จะต้องมีผลอย่างอื่นตามมาบ้างไม่ก็น้อยซึ่งแต่ละคนอาจจะรับได้แตกต่างกันเพื่อแลกกับประสิทธิภาพเบรกที่ดีขึ้น

0