Your address will show here +12 34 56 78
โปรโมชั่น

Carbon Fiber วัสดุคล้ายพลาสติก ที่ถูกถักทอขึ้นเป็นรูปทรงต่าง ๆ จริง ๆ แล้วมันคืออะไรถูกสร้างมาจากอะไรเราไปชมกันเลยครับ โดยวัสดุ Carbon Fiber ถูกคิดค้นขึ้นโดย Thomas Edison ในปี ค.ศ. 1860 เป็นการนำฝ้ายหรือเศษไม้ไผ่ไปอบที่อุณภูมิสูงจนได้ออกมาเป็นใยคาร์บอน ซึ่งในช่วงแรกถูกคิดค้นมาเพื่อใช้ผลิตหลอดไฟฟ้าเท่านั้น ต่อมาในปี ค.ศ. 1958 ได้มีการนำมาต่อยอดให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้นไปอีกแต่ก็ยังไม่ได้แข็งแรงอย่างที่เราเห็นกันในปัจจุบันเพราะในวัสดุ 1 ชิ้นนั้นจะมี Carbon Fiber อยู่เพียงแค่ประมาณ 20% เท่านั้นทำให้วัสดุชนิดนี้มีความแข็งแรงต่ำ ต่อมาในปี ค.ส. 1960 ได้มีการพัฒนาให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปอีกขั้นโดยในปีนี้วัสดุ 1 ชิ้นจะมี Carbon Fiber ผสมอยู่ประมาณ 55% ซึ่งก็ยังไม่แข็งแรงเท่า Carbon Fiber ในปัจจุบันอยู่ดี และในปี ค.ศ. 1963 ที่กระบวนการผลิดที่ถูกพัฒนาขึ้นจนวัสดุ 1 ชิ้นมีปริมาณ Carbon Fiber สูงถึง 80% และได้รับการจดสิทธิบัตรโดยกระทรวงกลาโหมแห่งสหราชอาณาจักร

กว่าจะมาเป็น Carbon Fiber วัสดุที่เข้ามาปฏิวัติทุกวงการอุตสาหกรรม


Carbon Fiber เริ่มต้นจากวัสดุ โพลิอะคลิโลไนไทรล์  (Polyacrylonitrile) หรือเรียกสั่นๆว่า “PAN” นำมาผ่านความร้อนให้ละลายและยืดออกเป็นเส้นใย จากนั้นจะถูกลำเข้าเตาอบที่อุณหภูมิประมาณ 1,000° – 3,000° องศาเซลเซียส (ร้อนประมาณครึ่งนึงของดวงอาทิตย์) และนี่คือจุดสำคัญภายในเตาอบนั้นจะไม่มีออกซิเจน และเมื่อไม่มีออกซิเจน ทำให้เส้นใยดังกล่าวจะไม่ถูกเผาไหม้ แต่ความร้อนจะเข้าไปทำให้เส้นใยแข็งแรงขึ้น และเหลือไว้เฉพาะเส้นใย Carbon Fiber ที่เกือบจะบริสุทธิ ซึ่งจะมีความเบาบางและแข็งแรง เส้นใยไฟเบอร์ที่ได้นั้นจะมีความหนาน้อยกว่าเส้นผมของมนุษย์แต่จะมีความแข็งแรงมากกว่าเหล็กกล้าหลายเท่า และมีน้ำน้ำหนักที่เบาเทียบเท่าเส้นผม เมื่อเส้นใยบาง ๆ เหล่านี้ถูกถักทอเข้าด้วยกันจนได้เป็นผ้าและประสานเข้ากับ Polymer (พอลิเมอร์ : สารสังเคราะห์ที่ใช้ขึ้นรูปพลาสติก) โดยส่วนใหญ่จะเป็น Epoxy ( อีพ็อกซี : กาวที่ใช้ยึดวัสดุพลาสติก) แบบ Resin (เรซิน : พลาสติกเหลวที่ใช้งานการขึ้นรูปชิ้นงาน) ซึ่งทำหน้าที่ยึดให้ผ้าคาร์บอนไฟเบอร์นั้นคงรูปทรงต่างๆตามที่วิศวกรต้องการก็จะกลายเป็นวัสดุ Composit ( คอมโพสิต : วัสดุที่เกิดขึ้นจากการผสมผสานวัสดุสองชนิดเข้าไว้ด้วยกัน ) ดังนั้น Carbon Fiber คือส่วนประกอบของวัสดุคอมโพสิตชนิดนึง ซึ่งถ้าจะเรียกอย่างถูกต้องจริงๆแล้ว ต้องเรียกว่า Carbon Fiber Reinforced Polymer (โพลิเมอร์เสริมเส้นใยคาร์บอนไฟเบอร์) “CFRP” หรือ Carbon Fiber ที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน นี่จึงเป็นสาเหตุว่าทำไม Carbon Fiber จึงได้ถูกนำไปใช้ในอุตสาหกรรมการบินและการอวกาศ ยังไม่หมดเท่านั้นความแข็งแรงของ Carbon Fiber จะเกิดขึ้นในแนวตั้งฉากของเส้นใยเท่านั้น ซึ่งหมายความว่าความแข็งแรงหรือความยืดหยุ่นของวัสดุ Carbon Fiber สามารถปรับเปลี่ยนได้โดยขึ้นอยู่กับทิศทางการออกแบบและเรียบเรียงลักษณะของโครงสร้างนั้นๆ ซึ่งตรงจุดนี้เองทำให้วิศวกรสามารถควบคุมระดับของความแข็งแรงให้เหมาะสมกับรูปแบบงานที่จะนำไปใช้ได้ จะแตกต่างจากโลหะทั่วไปที่ไม่สามารถทำได้ แม้แต่ไทเทเนียมหรือแม็กนีเซียมเองก็ไม่สามารถทำได้

และนี่คือคุณสมบัติของ Carbon Fiber


กลับมาที่อุสาหกรรมยานยนต์ปัจจุบัน Carbon Fiber ได้ถูกนำมาใช้ผสมผสานกับชิ้นส่วนอื่นๆของรถยนต์มากยิ่งขึ้นด้วยความแข็งแรงและน้ำหนักที่เบานั้นถูกพัฒนาให้สามารถรองรับแรงกดอากาศและการบิดตัวของตัวถังรถยนต์ได้เป็นอย่างดีจนสามารถนำไปผลิตเป็น Chassis (แชสซี : โครงสร้างตัวถังรถยนต์) ที่เราได้เห็นรถยนต์หลากหลายบริษัทนำ Carbon Fiber มาใช้เป็นวัสดุหลักในการสร้างรถยนต์ซึ่งคุณสมบัติของ Carbon Fiber ที่แข็งแรงและเบากว่าไทเทเนียมนั้นทำให้รถยนต์มีสมถรรนะที่สูงขึ้นไปอีกหลายเท่าตัวด้วยน้ำหนักของตัวรถที่เบาลงและกำลังของเครื่องยนต์ที่เพิ่มมากขึ้น ทำให้เราได้เห็นอัตราส่วนของแรงม้าต่อน้ำหนักที่สูงในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน Carbon Fiber จึงกลายเป็นวัสดุที่เข้ามาปฏิวัติวงการอุสาหกรรมยานยนต์จนถึงปัจจุบัน

ตอนต่อไปเราจะพาไปชม Cabon Fiber ที่สวยงามในแต่ละลาย แต่ละรูปแบบ ที่ภายใต้ความสวยงามที่เราเห็นอยู่นั้นวิศวกรได้ซ่อนความลับและเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ถูกผสมเข้าไปใน Carbon Fiber ใน EP. ต่อไปครับ
ถ้าไม่ยากพลาดความรู้ สาระดี ๆ และเทคนิดต่าง ๆ อย่าลืมกดติดตาม P2013 ทุกช่องทางไว้ด้วยนะครับ

Facebook : facebook.com/PorTanapat.13
Youtube : P2013
Tik Tok : https://www.tiktok.com/@p2013bynoke
LINE ID : @P2013
Instagram : Por.2013
เว็บไซต์ : p2013.co

0

โปรโมชั่น

Ohlins Racing AB ช่วงล่างที่อยู่คู่กับวงการมอเตอร์สปอร์ตมาอย่างยาวนานกว่า 30ปี และเป็นผู้ยกเทคโนโลยีขั้นสูงจากสนามแข่งขันมาให้เราได้ใช้งานจริงบนท้องถนน ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี มีเทคโนโลยีอะไรที่ Ohlins Racing AB ผลิตออกมาให้เราได้ใช้กันบ้าง มาย้อนประวัติดูพร้อมกันเลย ในปี ค.ศ. 1970 ชายหนุ่มที่มีชื่อว่า Kenth Ohlins (เคนท์ เออห์ลินส์) ได้ใช้เวลาว่างส่วนมากไปกับกีฬาทีเขาชื่นชอบที่สุด นั่นก็คือ Motocross และได้สังเกตุอย่างละเอียดทำให้ Kenth Ohlins เริ่มค้นพบรายละเอียดที่สำคัญ ซึ่งก็คือจักรยานยนต์แบบ Motocross นั้นมีกำลังเครื่องยนต์มากเกินกว่าที่ระบบกันสะเทือนจะรับไหว ทำให้ Kenth Ohlins ได้รู้ว่าการเพิ่มประสิทธิภาพให้กับจักรยานยนต์แบบ Motocross นั้นสามารถสร้างได้ด้วยการปรับปรุงระบบล้อให้รองรับกับกำลังของเครื่องยนต์ให้ได้มากที่สุด จึงได้เริ่มก่อตั้งบริษัท Ohlins Racing AB ในปี ค.ศ. 1976 และใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 2 ปีเท่านั้น Ohlins Racing AB ก็ได้รับชัยชนะจากรายการแข่งขันระดับโลกเป็นครั้งแรก และดำเนินธุรกิจมานานกว่า 35 ปี จนถึงทุกวันนี้ Ohlins Racing AB ก็ยังไม่หยุดที่จะค้นหาความสมบูรณ์แบบและเทคโนโลยีใหม่ ๆ ของโช้คอัพ Ohlins ซึ่งเป็นสิ่งแรกที่บริษัทยังคงให้ความสำคัญมาจนถึงทุกวันนี้



“DFV” 1 ในเทคโนโลยีที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ Öhlins

Ohlins DFV (Dual Flow Vavle) คือรุ่นที่ได้รับความนิยมสูงสุดของ Ohlins โดยจะมีวาล์วโช้คสองชุดที่แยกการทำงานกันระหว่างช่วง Bump (ช่วงยุบตัว) ช่วยซับแรงกระแทกเมื่อโช้คมีการยุบตัว และ Rebound (ช่วงคืนตัว) ช่วยลดอาการโคลงเคลงเมื่อโช้คมีการคืนตัว อยู่ภายในกระบอกที่โช้ค ดังนั้นการแยกการทำงานระหว่าง Bump และ Rebound จะช่วยเพิ่มความนุ่มนวลในการซับแรงกระแทกและช่วยให้ล้อนั้นสัมผัสกับพื้นถนนได้มากที่สุด การแยกวาล์ว ช่วง Bump และ Rebound นั้นจะช่วยให้วาล์วไม่ต้องรับภาระที่หนักเกินไปและช่วยให้โช๊คอัพมีการตอบสนองที่รวดเร็ว เพราะการแยกของเหลวระหว่างแก๊สกับน้ำมัน จะช่วยถ่ายเทความร้อนที่จะทำให้แรงดังในโช้คเปลี่ยนไปเมื่อมีการใช้งานต่อเนื่องกันเป็นเวลานาน และชิ้นส่วนทุกชิ้นที่ Ohlins นำมาผลิตโช้คจะถูกออกแบบอย่างสวยงามและลบเหลี่ยมลบคมโดยทีมวิศวกรออกแบบตัวโช้คตั้งแต่ภายนอกจนถึงภายในให้เหมาะสมกับรถรุ่นนั้น ๆ แม้แต่น็อตตัวเดียวที่นำมาผลิตโช้คนั้นยังต้องผ่านมาตราฐานการตรวจสอบ ก่อนนำมาเป็นส่วนประกอบของโช้ค ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกันกับโรงงานผลิตอะไหร่รถ Formula 1




ปัจจุบัญโช้คอัพ Ohlins ได้มีการพัฒนาโช้คสำหรับรถยนต์ SUV และ PPV ซึ่งใช้ระยะเวลามากกว่า 3 ปี ในการทดสอบถนนทั่วโลก เพื่อศึกษาข้อมูลในทุกภูมิประเทศให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ทั้งความคงทนของตัวโช้ค และการใช้งานที่สามารถตอบสนองได้ทุกความต้องการ ซึ่งโรงงานโช้คอัพ Ohlins ในประเทศไทยได้มีการพัฒนาช่วงล่างให้กับรถยนต์ PPV ถึง 4 รุ่น ได้แก่ Toyota Fotuner, Toyota Revo, Ford Everest, Ford Ranger และนี่คืออีกหนึ่งจุดเด่นของโช้คอัพ Ohlins ซึ่งไม่ว่าคุณจะซื้อโช้คอัพ Ohlins ที่ประเทศใดก็ตามก็จะได้ฟิลลิ่งการขับขี่แบบเดียวกัน

สามารถติดต่อได้ที่
Facebook : facebook.com/PorTanapat.13
Youtube : P2013
หรือช่องทางการโทรได้ที่หน้าเว็บไซต์ : p2013.co
0

เคล็ดลับ

Akrapovič ท่อไอเสียที่เราได้เห็นเหล่าซูเปอร์คาร์และซูเปอร์ไบค์ระดับ High Performance ติดตั้งกันตั้งแต่ออกมาจากโรงงานและได้เห็นผ่านตากันแทบจะทุกสนามแข่งขันจนหลายคนเริ่มสงสัยถึงความเป็นมาของท่อไอเสียแบรนด์นี้ว่ามีดีอะไร? และชื่อ Akrapovič ถูกตั้งมาจากอะไร? วันนี้เราจะพาไปทำความรู้จักกับท่อไอเสีย Akrapovič กันแบบเจาะลึกตั้งแต่ที่ Akrapovič จะมาผลิตท่อไอเสียให้เราได้เห็นกันจนทุกวันนี้ โดยบริษัท Akrapovič ได้ถูกก่อตั้งขึ้นโดยคุณ Igor Akrapovič ชาวสโลวีเนีย (Slovenia) ที่รวบรวมความรู้ความสามารถจากสนามแข่งขันรถจักรยานยนต์มากกว่า 10 ปี มาใช้ในการปรับแต่งจูนเครื่องยนต์และต้องการข้ามขีดจำกัด ด้วยการระบายความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้ให้ออกมาได้อย่างรวดเร็วที่สุด จึงได้เริ่มคิดค้นและผลิตท่อไอเสียเป็นของตัวเองโดยใช้นามสกุลของตัวเอง Akrapovič มาก่อตั้งเป็นชื่อแบรนด์ในปี ค.ศ. 1991 โดยเน้นไปที่การผลิตท่อไอเสียสำหรับเครื่องยนต์ 4 จังหวะเป็นส่วนใหญ่ เพราะเป็นเครื่องยนต์ที่คุณ Igor  Akrapovič ชื่นชอบมากที่สุด และในปี ค.ศ. 1993 ท่อไอเสีย  Akrapovič ใบแรกก็ได้ลงสู่สนามแข่งขันกับทีม Kawasaki Deutschland ในราย Pro Superbike Championship และจากหลังจากนั้นมาก็ได้เป็นผู้ให้การสนับสนุนเรื่องท่อไอเสีย กับทีมแข่งขันรถจักรยานยนต์ต่างๆ อย่าง Honda, Yamaha, Kawasaki, Suzuki, Ducati และได้นำทีมแข่งขันต่างๆคว้าแชมป์ในอีกหลายๆรายการ ซึ่งทำให้ระยะเวลาไม่ถึง 10 ปี จากโรงงานเล็กๆของ Akrapovič ก็สามารถเติบโตขึ้นได้อย่างก้าวกระโดด และยังเป็นที่ยอมรับจากนักแข่งขันรถจักรยานต์ยนต์ทั่วโลกอีกด้วยซึ่งในขณะเดียวกันกับที่โรงงานครบรอบ 10 ปี Akrapovič ก็ได้แชมป์อันดับ 1 ไปครองด้วยฝีมือของ Colin Edwards ในทีมแข่งขัน Castrol Honda SP-01 และต่อจากนั้นก็ได้แชมป์ AMA และ All Japan Superbike Championship ตามมาติดๆ และในปี ค.ศ. 2002 Akrapovič ก็มาถึงก้าวที่สำคัญที่สุดคือได้เข้าร่วมกันแข่งขันรายการ MotoGP ในทีมแข่งขัน Honda, Kawasaki และ Aprilia และในปี ค.ศ. 2007 ทางบริษัทก็ได้เปลี่ยนโลโก้จากอันเก่ามาเป็นโลโก้ปัจจุบันอย่างที่เราได้เห็นกันในทุกวันนี้ และเริ่มผลิตท่อไอเสียสำหรับรถยนต์ตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นมา



ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรท่อไอเสีย Akrapovič ยังคงได้รับความนิยมเป็นอย่างมากทั้งในจักรยานยนต์และรถยนต์

ปัจจุบัน Akrapovič ยังคงไม่หยุดที่จะพัฒนาชุดท่อไอเสีย High Perforomance โดยจะแบ่ง Product ออกเป็น 2 รายการผลิตดังนี้
1 Racing Line ท่อไอเสียกลุ่มนี้จะใช้วัสดุ Titanium เกรดที่ดีที่สุด มาผลิตเพื่อช่วยรีดสมรรถนะของเครื่องให้ออกมาได้มากที่สุดและลดน้ำหนักของท่อไอเสียให้เบาที่สุด ซึ่งการติดตั้งท่อไอเสียกลุ่มนี้ทางโรงงาน Akrapovič แนะนำให้มีการปรับจูนเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับชุดท่อไอเสียเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มแรงบิดและแรงม้าของเครื่องยนต์ให้ออกมาได้มากที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่จะตามมาคือเสียงที่ดังเกินกฎหมายกำหนดและไอเสียปริมาณมาก ท่อกลุ่มนี้จึงถูกจำกัดการใช้งานไว้ในสนามแข่งขันเท่านั้น



2 Evolution Line ท่อไอเสียที่ถูกผลิตขึ้นสำหรับรถ Performance Car เน้นการใช้งงานบนท้องถนนช่วยเพิ่มสมถรรนะของเครื่องยนค์ให้ดีขึ้นไปอีกขั้นโดยไม่จำเป็นต้องมีการปรับจูนเครื่องยนต์ซึ่งท่อไอเสียกลุ่มนี้จะเป็นรุ่น Flagship ของทาง  Akrapovič ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดซึ่งถูกผลิตขึ้นด้วยวัสดุ Titanium ให้โทนเสียงที่มีความนุ่ม ทุ้ม มีมิติและไม่ดังมากจนเกินไปและยังมีรุ่นที่ถูกผลิตด้วยวัสดุ Stainless Steel สำหรับคนที่ต้องการท่อไอเสีย Akrapovič ในรุ่นเริ่มต้นที่มีราคาไม่สูงมากจนเกินไปอีกด้วย


ถึงท่อไอเสีย Akrapovič จะไม่ได้มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนานเป็นร้อยปีแต่ด้วยความสามารถของคุณ Igor Akrapovič เองที่ได้ผลิตท่อไอเสีย Akrapovič ออกมาได้เป็นอย่างดีและมีประสิทธิภาพทำให้แบรนด์ Akrapovič ถูกกล่าวขานในกลุ่มของคนที่รักความเร็วและทีมแข่งขันรวมไปถึงรายการแข่งขันระดับโลกทั้งรถจักรยานยนต์และรถยนต์อยู่ตลอดเวลามาถึงตรงนี้ท่อไอเสียแบรนด์ Akrapovič คงได้เข้าไปอยู่ในใจใครหลายๆคนและยกให้ท่อไอเสีย Akrapovič เป็นที่ 1 ในใจอย่างแน่นอน

ทั้งนี้ทั้งนั้นการเลือกท่อไอเสียให้กับรถยน์ของเราอาจจะต้องคำนึงถึงการใช้งาน ประเภทของท่อไอเสีย และดีไซน์ที่สวยงาม เพื่อให้ตรงกับโจทย์การใช้งานของเราซึ่งแน่นอนว่าท่อไอเสียที่ออกจากโรงงาน Akrapovič ทุกใบได้ผ่านการทดสอบจากการใช้งานจริงทั้งความทนทานของวัสดุ การประกอบ รวมไปถึงสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการทดสอบแรงม้าจริงบน Dynamometer (ไดโน่) เพื่อให้ท่อไอเสียทุกใบสามารถรีดประสิทธิภาพของเครื่องยนต์ออกมาได้อย่างสูงสุด

สามารถติดต่อได้ที่
Facebook : facebook.com/PorTanapat.13
Youtube : P2013
หรือช่องทางการโทรได้ที่หน้าเว็บไซต์ : p2013.co

0

โปรโมชั่น

ก่อนจะเข้าเรื่องล้อเรามาทำความรู้จักบริษัท BBS ผู้ผลิตล้อก้าน Y ที่ใครหลายคนใฝ่ฝันอยากจะได้มาครอบครองกัน เริ่มต้นบริษัทถูกก่อตั้งโดย 2 หุ้นส่วน คือ Heinrich Baumgartner และ Klaus Brand แห่งเมือง Schiltach in the Black Forest ซึ่งเป็นเมืองที่อยู่ในเขตป่าดำ ประเทศเยอรมนี  โดยนำอักษรขึ้นต้นของ นามสกุล มารวมกับ ชื่อเมือง จึงเกิดเป็นชื่อแบรนด์ Baumgartner Brand Schiltach หรืออักษรย่อก็คือ “BBS” ที่เรารู้จักกันเป็นอย่างดีนั่นเอง โดยในช่วงแรกของการก่อตั้งบริษัท BBS ยังไม่ได้ผลิตล้อรถยนต์แต่อย่างใด แต่เป็นการผลิตพลาสติกชิ้นส่วนที่ใช้ในการประกอบตัวถังรถยนต์จนถึงปี 1972 บริษัท “BBS” ได้เริ่มผลิตล้ออกมาเป็นครั้งแรกแต่ยังไม่ได้วางจำหน่ายให้บุคคลทั่วไปได้เป็นเจ้าของแต่เป็นการผลิตเพื่อการแข่งขัน Formula 1 (F1) โดยเฉพาะล้อชุดแรกถูกผลิตขึ้นแบบ 3 ชิ้น โดยจะแบ่งออกเป็น ก้านล้อที่จะถูกติดตั้งเข้ากับตัวรถ และขอบด้านใน + ขอบด้านนอกที่จะสามารถกำหนดความกว้างของล้อได้เองตามที่ทีมแข่งขันต้องการโดยมีจุดเด่นของล้อคือ น้ำหนักที่เบา แข็งแกร่ง และสามารถเปลี่ยนขนาดได้อย่างรวดเร็วเพื่อให้เหมาะสมกับการแข่นขันในสนามนั้นๆ และได้รับชัยชนะในการแข่งขัน Formula 1 World Championship (F1) ส่งผลให้ล้อ BBS ได้เป็นที่ยอมรับในวงการมอเตอร์สปอร์ต และทำให้บริษัทขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปี ค.ศ. 1980 BBS ได้ถูกวางจำหน่ายสู่สาธารณะเป็นชุดแรก

ปัจจุบันล้อ BBS แบ่งการผลิตออกเป็น 3 กลุ่มหลักๆ



1.BBS Forged Line ถูกผลิตขึ้นที่ประเทศญี่ปุ่น ล้อในกลุ่มนี้จะเน้น Performance เป็นหลักทำให้ล้อมีน้ำหนักเบาที่สุด เหนียวที่สุด แข็งแกร่งที่สุด ซึ่งแน่นอนว่าจะมาพร้อมกับค่าตัวที่สูงที่สุดเช่นกันครับ
รุ่นที่ได้รับความนิยมของล้อกลุ่มนี้
BBS RI-D
BBS RI-S
BBS FI-R
2.BBS Performace Line ถูกผลิตขึ้นที่ประเทศเยอรมนี ซึ่งเป็นล้อที่ผลิตแล้วทำให้ BBS กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง เพราะเป็นการผลิตแบบ Flow Forming ที่มีความเบาและแข็งแรงมาก ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ รถ Formula 1 ( F1) เลือกใช้อีกด้วย โดย กลุ่มนี้จะเป็นล้อที่ได้รับความนิยมมากที่สุดครับ
รุ่นที่ได้รับความนิยมของล้อกลุ่มนี้
BBS CI-R
BBS CH-R
BBS CC-R
3.BBS Design Line ถูกผลิตขึ้นที่ประเทศเยอรมนีเช่นเดียวกันแต่จะเป็นการผลิตแบบ Casting Wheels ตอบโจทย์ ผู้ใช้งานเริ่มต้นที่อยากครอบครองล้อ BBS เป็นชุดแรกในราคาที่ไม่สูงมากจนเกินไปครับผม
รุ่นที่ได้รับความนิยมของล้อกลุ่มนี้
BBS SR
BBS XR
BBS SX




โดยลายล้อที่ได้รับความนิยมสูงสุดของล้อ BBS ยังคงความเป็นเอกลักษณ์ของแบรนด์ไว้ได้เป็นอย่างดีคือล้อที่มีลักษณะเป็นก้าน Y (Y Spoke) และถ้าเราสักเกตกันดีๆจุดเริ่มต้นของล้อ BBS จะเป็นการนำก้าน Y จำนวนมากมาเรียงต่อกันจนครบวงล้อซึ่งนอกจากจะได้ความสวยงามแล้วโครงสร้างของล้อลายนี้ยังเพิ่มความแข็งแรงและการกระจายแรงกระแทกได้เป็นอย่างดีอีกด้วย ซึ่งสุดท้ายแล้วการเลือกใช้ล้อที่ดีมีคุณภาพไปติดตั้งกับรถที่คุณรักนอกจากนะได้ความสวยงามแล้วยังได้ความปลอดภัยในการใช้งานอย่างดีที่สุดอีกด้วย

สามารถติดต่อได้ที่
Facebook : facebook.com/PorTanapat.13
Youtube : P2013
หรือช่องทางการโทรได้ที่หน้าเว็บไซต์ : p2013.co
0

ว่าด้วยเรื่องของเบรกซึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน หลายๆ คนมีมุมมองที่อาจจะแตกต่างไปสำหรับการแต่งรถ ว่าเป็นเรื่องสิ้นเปลืองหรือไม่ได้มีความจำเป็นเพราะของเดิมก็ใช้ได้ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่ามันมีของที่ดีกว่า แต่จะทำไปทำไมให้สิ้นเปลืองโดยไม่จำเป็น แต่สำหรับบางคนที่เคยอัพเกรดระบบเบรกเพราะเคยเจอเหตุการณ์ที่จำเป็นต้องใช้เบรกแบบกดกันจนตัวโก่งในยามฉุกเฉิน ขอแค่ครั้งเดียวแล้วเบรกอยู่ก็มองว่า จ่ายเท่านี้ ยังไงก็คุ้ม แลกกับรถไม่ต้องชน ไม่เสียเวลาทำรถ รถไม่มีตำหนิในวันขายรถต่อ ทุกคนบนรถปลอดภัย อันนี้ก็สุดแล้วแต่ว่าใครจะให้ความสำคัญกับตรงนี้หรือไม่

เบรกปัจจุบันมีให้เลือกทำกันหลายแบบ แต่ถ้าอยากให้รถเบรกดีขึ้นมันมีวิธีง่ายๆ แค่ไม่กี่อย่างแต่ระยะหยุดรถสั้นลงแบบรู้สึกได้อย่างแน่นอน อ้างอิงจากข้อมูลทางเทคนิคของของที่ใส่และประสบการณ์ใช้งานจริง

1. ผ้าเบรก : หลักๆ Product ส่วนนี้ถูกแบ่งการใช้งานออกเป็น 2 ประเภทง่ายๆ สำหรับผู้ใช้งานส่วนใหญ่ คือ

a. รถบ้าน ขับใช้งานปกติสำหรับคนทุกเพศทุกวัย ไม่ชอบให้เบรกมีเสียง ฝุ่นจากผ้าเบรกน้อย ต้องการระยะเบรกที่สั้นกว่าผ้าเบรกที่ติดรถออกมาจากศูนย์และที่สำคัญราคาใกล้เคียงไม่แตกต่างจากของศูนย์บริการหรือของติดรถมากนัก ซึ่งถ้าจะให้จัดของที่เหมาะสำหรับการใช้งานแบบนี้ ก็น่าจะต้องเป็น

1. Nexzter Mu Spec, Temp 500, Friction 0.40-0.45

2. Dixcel EC, Temp 450, Friction 0.35-0.50

3. Dixcel Type M, Temp, 500 Friction 0.39-0.52

b. รถซิ่ง ขับเร็ว เบรคต่อเนื่องบ่อย เบรกลึก ใช้เบรกหนัก ซึ่งผ้าเบรกสำหรับการใช้งานแบบนี้มักจะต้องทนอูณหภมิสูง มีค่า Friction หรือเสียดทานจากการสัมผัสระหว่างผ้าเบรกกับจานเบรกสูงๆ แต่ก็จะมีผลกระทบตามมาอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ด้วย เช่น มีเสียงบ้างในการใช้งานความเร็วต่ำ ผ้าเบรกมีฝุ่นค่อนข้างเยอะกว่าของเดิม

1. Nexzter Pro Spec, Temp 600, Friction 0.43-0.48

2. Dixcel ES, Temp 600, Friction 0.34-0.48

3. Dixcel Type S, Temp, 700 Friction 0.36-0.54

2. จานเบรก : โดยปกติแล้วสำหรับการใช้งาน เรามักจะเปลี่ยนผ้าเบรกกันประมาณ 2 ชุด จานก็จะเริ่มบาง เนื่องจากตอนเปลี่ยนผ้าเบรกชุดแรก จานอาจจะมีรอยไหม้หรือมีการสึกที่ไม่เท่ากันจากการใช้งานในรูปแบบต่างๆ ซึ่งสามารถแก้ไขได้โดยการเจียจานเบรกให้กลับมาใกล้เคียงกับจานใหม่ที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อมีการเจียจานครั้งที่ 2 จานก็จะเริ่มบางลงเรื่อยๆ จนไม่เหมาะที่จะใช้งานต่อไปเพราะความหนาลดลงและอาจจะส่งผลให้จานคดได้ง่ายขึ้นหรือบางเคสก็บางจนแตกไปเลย โดยปัจจุบันนี้มีจานให้เลือกใช้งานหลักๆ 2 ประเภท

a. จานเบรกทดแทนของเดิม ซึ่งราคาไม่แพงแต่ประสิทธิภาพดีกว่าของติดรถ เพื่อเป็นทางเลือกให้คนที่ไม่อยากเจียจาน แต่ก็ไม่อยากเปลี่ยนจานเบรกที่มีราคาแพงเกินความจำเป็นและเกินการใช้งาน

1. Brembo

2. TRW

3. Nexzter

b. จานเบรกอัพเกรด

1. Dixcel SD Type

3. สายถักเบรก : ด้วยของเดิมติดรถออกมาจากศูนย์โดยส่วนใหญ่มักจะใช้สายเบรคที่ทำจากยางซึ่งเป็นวัสดุที่ให้ตัวได้ นิ่ม และมีความยืดหยุ่นมากกว่าทำให้ เมื่อมีการใช้งานไปจนอูณหภูมิสูง หรือมีแรงดันในระบบเพิ่มขึ้น จะทำให้สายเบรกมีการขยายตัวได้ ซึ่งจะส่งผลต่อความไวความเสถียรและประสิทธิภาพของการเบรกโดยตรง เมื่อเราเปลี่ยนเป็นสายถัก สายเบรกจะไม่มีการขยายตัวจากการใช้งานอีกต่อไป ทำให้เบรกจากเท้าที่ส่งน้ำมันไปหาผ้าเบรกมีการตอบสนองที่ไวขึ้น ในช่วงเสี้ยววินาทีของการหยุด ระยะเบรกก็จะสั้นลงตามไปด้วยจากการตอบสนองส่วนนี้ที่ไวขึ้น รวมถึงความเสถียรของแรงเบรกและการทนแรงดันสูงจากการเบรก ซึ่งแบรนด์ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายและผ่านการทดสอบใช้งานจนถือได้ว่ามีประสิทธิภาพดีในระยะยาวคือ แบรนด์ Hel

4. น้ำมันเบรก ปัจจุบันเบอร์น้ำมันเบรกที่นิยมใช้กันจะเป็น Dot 5.1 ซึ่งมีจุดเดือดและจุดเดือดชื้นสูงกว่าของเดิมติดรถ และให้ ของการเบรกเหมาะสมกับการใช้งานทั่วไปจนถึงความเร็วสูงบนถนน คือ ไว แต่หัวไม่ทิ่ม ทั้งนี้ทั้งนั้นสิ่งที่สำคัญมากสำหรับระบบน้ำมันคือการไล่น้ำมันเบรกด้วย

5. เปลี่ยนปั๊มเบรค (Caliper) เดิมปั๊มติดรถส่วนใหญ่จะเป็นปั๊มที่มีลูกสูบลูกใหญ่ลูกเดียว ซึ่งการอัพเกรดโดยการเปลี่ยนปั๊มส่วนมากจะเป็นการเปลี่ยนเพื่อเพิ่มจำนวนลูกสูบ เพื่อให้มีแรงกดไปที่ผ้าเบรกมากขึ้น เสถียรขึ้น และยังได้ของแถมคือเรื่องความสวยงามมาเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งการเปลี่ยน Caliper ก็จะมี 2 แบบ หลักๆ คือ ปั๊ม Re-built แท้ และปั๊มแท้ใหม่มือ 1 ขึ้นอยู่กับงบประมาณ ขนาดล้อว่าใส่กับเบรครุ่นที่เราเลือกได้หรือไม่

จากชุดระบบอัพเกรดเบรกทั้งหมด ไม่ได้หมายความว่าชุดไหนหรือยี่ห้อไหนดีกว่ากัน แต่ต้องเลือกดูว่าลักษณะการใช้งานของเราเป็นแบบไหนแล้วเลือกของให้ถูกต้องเหมาะสมกับการใช้งาน เช่น ความเร็วในการขับขี่ งบประมาณ ฝุ่นมากฝุ่นน้อย เสียง ระบะเบรก น้ำหนักบรรทุกที่ใช้งานประจำ เนื่องจากอุปกรณ์แต่ละอย่างที่ใส่เข้าไป จะต้องมีผลอย่างอื่นตามมาบ้างไม่ก็น้อยซึ่งแต่ละคนอาจจะรับได้แตกต่างกันเพื่อแลกกับประสิทธิภาพเบรกที่ดีขึ้น

0

รีวิวนี้เป็นรีวิวสำหรับคนที่เน้นสมรรถนะของยางในการขับขี่บนนถนนแห้ง แต่ยังต้องการรีดน้ำดีบนถนนเปียก (เจอแอ่งน้ำแล้วไม่แถ) เข้าโค้งด้วยความเร็วสูงๆ ได้ เบรคแรงๆ แล้วไม่ไถล แน่นอนคุณกำลังมองหายางสปอร์ตอยู่ไม่ว่าคุณจะรู้จักคุณสมบัติของมันหรือไม่ แต่ยางชนิดนี้ก็ไม่ได้เลิศเลอเพอร์เฟ็คไปซะทุกอย่าง เหรียญมี 2 ด้าน ผลที่ตามมามีแน่นอน เช่น เรื่องเสียงที่ดังขึ้น ความแข็งของแก้มยางที่มากขึ้น เมื่อเทียบกับยาง Comfort แต่อย่างไรก็แล้วแต่ ด้วยเทคโนโลยีการผลิตของแบรนด์ชั้นนำในปัจจุบัน ผลกระทบเหล่านี้ดูเหมือนจะถูกพัฒนาให้เกิดขึ้นน้อยลง แต่ยังคงประสิทธิภาพของยางสปอร์ตเช่นเดิม วันนี้เราจะมาลองดูกันว่า แบรนด์ชั้นนำที่ว่า ใครดีใครเด่นด้านไหนบ้าง

1.Michelin Pilot sport 3

2.Bridgestone RE004

3.Yokohama V701

โจทย์การใช้งาน

โจทย์การทดสอบ : ขับเร็ว โยกบ้าง มุดบ้าง แต่ใช้ความเร็วไม่เกิน 190 กม./ชม.

ตัวแรกเลย Michelin Pilot sport 3

ความรู้สึกแรกเมื่อได้ทดลองขับ เห้ย !!! ยางสปอร์ตมันต้องแข็งๆ หน่อย ตึงตังหน่อยดิ แต่นี่แบบไม่ได้กระด้างอย่างที่เราคิดนี่หว่า อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ เรื่องการเกาะถนน เข้าโค้งลึกๆ หน่อย นิ่ง ไปได้สบายๆ เอาอยู่เลย รีดน้ำอันนี้ผมให้เต็ม 10 เจอแอ่งใหญ่ๆ จับพวงมาลัยแน่นๆ ผ่านสบายๆ ชิลๆ รถแทบไม่เสียอาการ

ข้อเสีย หลัง 10,000โลไป เสียงเริ่มมา + เนื้อยางเริ่มแข็งขึ้น แต่เรื่องการเกาะถนนยังมั่นใจเหมือนเดิม

เพิ่มเติม : ที่ต้องย้อนกลับไปถึง Pilot Sport 3 เพราะอยากรีวิวของที่ตัวเองได้ใช้งานจริง หลายๆ คนคงถามว่า แล้วตัวปัจจุบันที่ถูกพัฒนาไปสำหรับยางประเภทเดียวกัน คือ Pilot Sport 5 ล่ะ ก็ต้องบอกว่า เค้าได้พัฒนาไปในทิศทางที่ค่อนข้าง comfort ขึ้น เช่น เสียงเบาลง ขับสบายขึ้นครับ

Bridgestone RE004

ชุดที่สองหลังจาก Michelin หมดสภาพตามกาลเวลา ความรู้สึกแรกที่ใส่ดอกมันสวยดูสปอร์ตกว่า PS3 ความเร็วต่ำๆ ยางค่อนข้างแข็งพอสมควร เมื่อเทียบกับ Michelin ที่ใช้งานมา 3-4 หมื่นโล แต่เรื่องการเกาะถนน เข้าโค้งทำได้ดีไม่ต่างกับ Michelin เลย รีดน้ำ เต็ม 10 ไม่หักเหมือนกัน

โค้งแรงๆ ผมว่ามั่นใจกว่า PS3 นิดๆ

ข้อเสีย เนื้อยางค่อนข้างแข็ง เสียงดังระดับนึง (แต่รับได้)

Yokohama V701

ชุดนี้ความรู้สึกแรก เอาเว้ยมันนุ่มกว่า RE004 // PS3 ตั้งแต่วันแรกเลย ความเร็วต่ำๆ สบายขึ้นเยอะ ช่วงความเร็วสูงถ้าไม่มุดเยอะเอาอยู่มั่นใจได้ แต่หากเข้าโค้งแรงจะมีดิ้นๆ บ้างพอให้เสียวนิดนึง อาจจะด้วยเพราะเนื้อยางมันนุ่ม รีดน้ำถือว่าทำได้ค่อนข้างดีแต่ผมว่ายังเป็นรอง 2 ตัวด้านบนให้ 8/10 ละกันครับ

ข้อเสีย เสียงดังพอสมควรด้วยหน้าตาดอกยางที่เป็นดอกลูกศรวิ่งทางเดียว ในโค้งหนักๆ มีดิ้นๆอยู่บ้าง

สรุปส่วนตัวสำหรับผมนะครับ

ผมชอบ Michelin PS3 ที่สุด แต่ข้อเสียคือ แพง + ดอกยางไม่ค่อยสวย ดูไม่สปอตเท่าไหร่

รองลงมา Yoko V701 ผมให้เหมาะสมกับคนที่ขับเร็วได้ แต่ไม่ค่อยสาดในโค้งอันนี้ตอบโจทย์ ดอกสวย + นุ่ม ราคาดี

สุดท้าย Bridgestone Re004 หล่อดอกสวย เหมาะกับคนที่ขับรถเร็ว ไม่ติดเรื่องเนื้อยางแข็ง ราคาพอๆ กับ Michelin

หวังว่าจะมีส่วนที่จะช่วยเพื่อนๆ พี่ๆ ประกอบการตัดสินใจในการเลือกใช้ยางกันนะครับ ใครมีรุ่นไหนที่ใช้อยู่มาแชร์ข้อมูลใต้โพสนี้กันได้เลย หากท่านสนใจติดตั้งของแท้กับเราที่ P2013 ป.ธนพัฒน์ สามารถมาใช้บริการกับเราได้ทั้ง 2 สาขา โดยเราเป็นร้านจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งช่วงล่างรถยนต์หลากหลายประเภท เช่น เบรค โช๊คอัพ ล้อแม็ก ยางรถยนต์ หรือท่อไอเสีย ซึ่งเรามีตัวอย่างผลงานที่เราได้แต่งรถยนต์ให้กับลูกค้าหลายราย ท่านสามารถเข้าไปดูได้ที่ Facebook: P2013 – ป.ธนพัฒน์ 2013 หากต้องการสอบถามเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ Mobile : 081-789-6639 // 099-1010-109 หรือ LINE ID : @P2013

0

โปรโมชั่น

ถ้าพูดถึงระบบเบรก 1 แบรนด์ที่จะเรียกว่าเป็นเบอร์ต้นๆ ของโลก ทุกคนน่าจะต้องนึกถึง Brembo เบรกคุณภาพสูงสัญชาติอิตาลีอย่างแน่นอน ซึ่งนอกจากจะผลิตเบรกติดรถให้กับรถยุโรปชั้นนำอย่างมากมายแล้ว Brembo ยังมีทำเบรก After Market ที่เป็นเบรก High Performance มาอีกด้วย
ตัวคาลิปเปอร์เบรกจะถูกแบ่งออกเป็น 3 รุ่นหลักๆ โดยที่ทั้งหมดเป็น Monobloc ดังนี้

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


1. Brembo GT
– Body : Aluminum cast
– Color : painted
– Color selection : Red, Black, Silver, Yellow
– Disc diameter : 355, 380, 405 mm
2. Brembo GT-S (Aluminium cast)
– Body Aluminium cast
– Color : Hard anodized with engraved logo
– Color selection : Black with red logo
– Disc diameter : 355, 380, 405 mm
3. Brembo GT-R (Aluminium billet)
– Aluminium cast
– Color : Nickel plated with engraved logo
– Ventilation stainless steel instert
– Disc diameter : 355, 380, 405 mm
ทั้ง 3 รุ่นที่กล่าวมาเป็นเบรกที่รองรับการใช้งานทั้งในรูปแบบปกติบนถนนและการขับขี่ที่ต้องการประสิทธิภาพเบรกสูงๆ ทั้งสิ้น แต่สิ่งที่แตกต่างกันจะเป็นเรื่องของการขึ้นรูปและกรรมวิธีการผลิตซึ่งส่งผลต่อน้ำหนักและความแข็งแรง ทำให้ได้ประสิทธิภาพการขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นไปอีกในแต่ละระดับ เรียกง่ายๆ ว่า ดี ดีมาก ดีที่สุด ให้เข้าใจง่ายๆ นั่นเอง
จานเบรกของทาง Brembo ที่จับกับคาร์ลิปเปอร์ทั้ง 3 รุ่นจะมี 2 แบบ ดังนี้

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

1. จาน Type II จะเป็นจานที่เจาะรูทั่งทั้งจาน
2. จาน Type III จะเป็นจานเซาะร่องลายเรซซิ่ง
ด้วยความที่เบรกแบรนด์นี้ได้รับความนิยมมากทั้งในอดีตจนถึงปัจจุบัน ทำให้ในท้องตลาด มีของปลอมและลอกเลียนแบบผลิตออกมาเป็นจำนวนมาก จากรูปลักษณ์ภายนอกค่อนข้างตรวจสอบได้ยากหากไม่ได้มีความเชี่ยวชาญในการสังเกตและตรวจสอบ ในการเลือกซื้อต้องระมัดระวังเลือกร้านที่มีความน่าเชื่อถือ เป็นตัวแทนจำหน่ายของแท้อย่างเป็นทางการ เพื่อให้ได้เบรกที่มีประสิทธิภาพและปลอดภัยต่อการใช้งานมากที่สุด

0

หนึ่งในองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดของรถที่ไม่ว่าคุณจะแต่งรถหรือไม่ก็ตาม ของสิ่งนี้ก็ยังจำเป็นจะต้องดีและพร้อมใช้งานที่สุดตลอดเวลาซึ่งนั่นก็คือ ระบบเบรก

สำหรับสายซิ่งน่าจะต้องรู้จักแบรนด์นี้กันดี Endless เบรกประสิทธิภาพสูงสัญชาติญี่ปุ่น ซึ่งค่อนข้างเป็นที่นิยมในตลาดรถแต่งญี่ปุ่น ราคามือสองแข็ง แม้ว่าจะผ่านการใช้งานมาแล้วก็ตาม

คุณสมบัติหลักของเบรกแบรนด์นี้คือ ให้ความรู้สึกในการใช้งานที่ค่อนข้างไว กระชับในการเบรก ลดระยะเบรกได้ชัดเจน โดยความนุ่มนวลในการใช้งานก็จะแตกต่างไปตามรุ่นและราคา แต่ก็จะอยู่บนพื้นฐานที่ไปในทาง High Performance คือรองรับการใช้งานในความเร็วสูงต่อเนื่องได้ ระยะเบรกสั้น หนึบ ไม่ไหล ไม่เฟดง่าย ทนอูณหภูมิได้สูง Friction ของการเบรกสูง โดย Product จะแบ่งออกเป็นหลักๆ ดังนี้

ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ

  1.   S6 หรือที่รู้จักกันในชื่อเล่นว่า Endless น้ำเงิน เป็นเบรก Twinblock 2 ชิ้น ให้ความไวในการเบรกค่อนข้างดีมาก สำหรับบางคนที่ไม่เคยใช้งานอาจจะรู้สึกไวจนขาดความนิ่มนวลไปบ้างแต่ประสิทธิภาพถือว่าสมกับราคา โดยสเปคมีรองรับตั้งแต่ 4 พอด ไปจนถึง 6 พอด ขนาดจาน 282 มม. ไปจนถึง 370 มม.
  2.   Monoblock เป็น Caliper ที่ถูกขึ้นรูปขึ้นมาเป็นชิ้นเดียว ให้ความไวในการเบรกค่อนข้างดีมากและเพิ่มเติมเรื่องความนุ่มนวลในการเบรกมากขึ้น ปั๊มน้ำหนักเบาขึ้น แข็งแรงมากขึ้น ประสิทธิภาพดีกว่า S6 โดยสเปคมีรองรับตั้งแต่ 4 พอด ไปจนถึง 6 พอด ขนาดจาน 355 มม. ไปจนถึง 370 มม.
  3.   Meki Monoblock เป็น Caliper ที่ถูกขึ้นรูปขึ้นมาเป็นชิ้นเดียว รุ่น Lightweight พร้อมสีพิเศษ ให้ความไวในการเบรกดีมากและเพิ่มเติมเรื่องความนุ่มนวลในการเบรกมากขึ้น ปั๊มน้ำหนักเบาที่สุด แข็งแรง ประสิทธิภาพสูง สำหรับรุ่นนี้จะต้องเป็นการสั่งสำหรับรถเฉพาะรุ่น ซึ่งมีราคาค่อนข้างสูงมาก

 
ไม่มีคำอธิบายรูปภาพ


ในการติดตั้งเบรก Endless จะมี Accessories ต่างๆ มาด้วยครบชุด ไม่ว่าจะเป็นสายถัก น้ำมันเบรกและผ้าเบรก ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญที่จะทำให้ระบบเบรกสามารถทำงานได้อย่างสมบูรณ์

0


ก่อนที่จะมารู้จักคุณสมบัติของโช้ค KW เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า ปัญหาการใช้งานของโช้คเดิมมีอะไรบ้าง เช่น ย้วยโยนและกระเด้งเมื่อขับด้วยความเร็ว รถโยนไม่หยุดเมื่อเจอคลื่นถนนหรือเมื่อกระโดดบนคอสะพาน อาการโคลงเคลงเมื่อขับความเร็วต่ำหรือเจอฝาท่อและถนนที่ไม่เรียบทำให้นั่งไม่สบาย ไม่มั่นใจเมื่ออยู่ในโค้งหรือโยกรถกระทันหัน ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้สามารถแก้ไขให้หายไปหรือลดลงได้ด้วยโช้ค KW เพียงชุดเดียว แต่สิ่งที่สำคัญไม่แพ้กันคือ ประสบการณ์และความเข้าใจในการปรับเซ็ทตัวโช้ค ด้วยความที่ข้อดีของโช้คคือ การปรับเซ็ทได้หลากหลายแบบแล้วแต่การใช้งานและอาการที่อยากจะแก้ ซึ่งก็จะเป็นปัญหาและยากต่อการปรับเซ็ทสำหรับคนที่ไม่เข้าใจอาการหรือไม่มีประสบการณ์ในการปรับเซ็ทด้วยเช่นกัน

 

ความอัจฉริยะของโช้ค KW



ความอัจฉริยะคือเรื่องของวาล์วน้ำมันที่สามารถปรับแยกตามจังหวะการยุบและยืดของโช้คได้ ซึ่งจะให้อาการที่ออกมาแตกต่างกันขึ้นอยู่กับว่าเราต้องการแก้ไขอาการไหนของรถและค่อนข้างจะยากต่อการทำความเข้าใจหากใช้ความรู้สึก ยกตัวอย่าง เช่น บางคนรู้สึกว่ารถกระเด้งหรือแข็ง กลับเข้ามาให้ปรับเซ็ทอยากให้นุ่มขึ้น เมื่อออกไปลองทดสอบด้วยกันเก็บอาการและปัญหามาพร้อมกันแล้วปรับแก้จนได้ความรู้สึกที่พอใจ สุดท้ายแล้วทางเรา

ได้มีการปรับเซ็ทเป็นการปรับให้เบอร์น้ำมันที่แข็งขึ้น ซึ่งสวนทางกับสิ่งที่ลูกค้าแจ้งว่าให้ปรับนุ่ม แต่อาการที่ได้คือ นุ่มขึ้นในความรู้สึกลูกค้า เหล่านี้ล้วนแต่เป็นประสบการณ์ของคนปรับเซ็ทว่าจะมีความเข้าใจอาการของโช้ค, ตัวรถและปัญหาของลูกค้าได้มากน้อยขนาดไหน ซึ่งมีส่วนสำคัญมากว่าลูกค้าจะได้รับความพอใจในโช้คชุดนี้หรือไม่


ปรับโช้ค KW ยังไงให้เหมาะสม



ตัวโช้ค KW ปกติแล้วจะมีการกำหนดค่า Pre-load รวมถึงระยะการโหลดรถสูงสุดกับต่ำสุดเอาไว้ด้วยในโช้คแต่ละรุ่น ซึ่งคนติดตั้งจะต้องมีความเข้าใจใน Application ของโช้ค แต่ละ Model และปรับเซ็ทโช้คให้อยู่ภายในที่ระยะที่คู่มือกำหนดด้วย ในหลายๆ เคสที่มีทางลูกค้ามีการติดตั้งมาจากที่อื่น การปรับเซ็ทไม่อยู่ในระยะที่คู่มือกำหนดก็จะส่งผลถึงการทำงานของโช้คที่ไม่ถูกต้อง ทำให้ปรับเบอร์น้ำมันยังไงก็ไม่เจออาการที่ดีตามที่เจ้าของรถต้องการ

 

สุดท้ายแล้วของจะใช้งานดีหรือไม่ ไม่ได้ขึ้นอยู่กับแค่องค์ประกอบของตัวของที่ดีอย่างเดียว แต่ขึ้นอยู่กับคำแนะนำจากผู้ขายที่เลือกโช้คให้ลูกค้าว่าเข้าใจปัญหาการใช้งานของผู้ซื้อหรือไม่ด้วย รวมถึงความรู้ความเข้าใจในงานติดตั้งและปรับเซ็ทจากทางร้านค้าและความรับผิดชอบในบริการหลังการขาย การวารันตีจากตัวแทนที่ถูกต้องของประเทศไทย การดูแลลูกค้า ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นส่วนประกอบที่ P2013 มีให้ลูกค้าแน่นอน หากท่านสนใจติดตั้งของแท้กับเราที่ P2013 ป.ธนพัฒน์ สามารถมาใช้บริการกับเราได้ทั้ง 2 สาขา โดยเราเป็นร้านจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งช่วงล่างรถยนต์หลากหลายประเภท เช่น เบรค โช๊คอัพ ล้อแม็ก ยางรถยนต์ หรือท่อไอเสีย ซึ่งเรามีตัวอย่างผลงานที่เราได้แต่งรถยนต์ให้กับลูกค้าหลายราย ท่านสามารถเข้าไปดูได้ที่ Facebook: P2013 – ป.ธนพัฒน์ 2013 หากต้องการสอบถามเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ Mobile : 081-789-6639 // 099-1010-109 หรือ LINE ID : @P2013

0

เคล็ดลับ, โปรโมชั่น

ล้อแม็กเป็นหนึ่งในอุปกรณ์ตกแต่งรถที่ได้รับความนิยมมากที่สุด เนื่องจากทำให้รถยนต์ของเรามีความเท่ ความสวยงาม หรือตรงตามสไตล์ที่เราชื่นชอบมากยิ่งขึ้น โดยที่ร้าน P2013 เรามีล้อแม็กจำหน่ายและพร้อมบริการติดตั้งหลากหลายแบรนด์ หนึ่งในแบรนด์ที่ได้รับความนิยม คือ แม็ก hre ผู้ผลิตล้อแม็กคุณภาพจากประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งบทความนี้เราจึงจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับแม็ก hre กันมากขึ้นดังนี้ 

รู้จักกับแบรนด์ล้อแม็ก hre จากประเทศสหรัฐอเมริกา




บริษัทเป็นผู้ผลิตล้อแม็กอะลูมิเนียมอัลลอยด์แบบหล่อ FlowForm แบบ 1 ชิ้น 2 ชิ้น และล้อ 3 ชิ้นสำหรับรถแข่งที่มีประสิทธิภาพสูง หรือแม้กระทั่งรถยนต์ที่มีความหรูหรา และรถยนต์ SUV ทืี่เป็นล้อฟอร์จแบบสั่งผลิตของ HRE ก็สามารถทำได้ โดยปัจจุบันมีฐานการผลิตในโรงงานที่ซานดิเอโก รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา มีการออกแบบและงานวิศกรรมที่มีมาตรฐานได้รับการรับรองจาก TÜV มีตัวเลือกออฟเซ็ต ความกว้าง และผิวเคลือบที่ปรับแต่งได้ ส่งผลให้ได้สไตล์เฉพาะตัวและโซลูชันด้านประสิทธิภาพสำหรับการใช้งานของลูกค้าแต่ละรายได้อย่างดีเยี่ยม

แม็ก hre มีรุ่นใดบ้าง




ล้อแม็ก hrel มีล้อแม็กที่ผลิตอละจำหน่ายอยู่ทั้งหมด 23 รุ่น หลัก และประกอบด้วยรุ่นย่อยตามจำนวนดังนี้ 

  • Series HX1 จำนวน 4 รุ่นย่อย  
  • Vintage CRBN Series จำนวน 4 รุ่นย่อย  
  • Classic CRBN Series จำนวน 5 รุ่นย่อย  
  • 520 CRBN Series จำนวน 5 รุ่นย่อย  
  • Series L1 จำนวน 4 รุ่นย่อย  
  • Series S1SC จำนวน 4 รุ่นย่อย  
  • Series S1 จำนวน 3 รุ่นย่อย  
  • Series S2H จำนวน 6 รุ่นย่อย  
  • Series S2 จำนวน 5 รุ่นย่อย  
  • Series P1SC จำนวน 6 รุ่นย่อย  
  • Series P1 จำนวน 6 รุ่นย่อย  
  • Series P2 จำนวน 4 รุ่นย่อย  
  • Series R1 จำนวน 3 รุ่นย่อย  
  • Series RC1 จำนวน 3 รุ่นย่อย  
  • Series HD1 จำนวน 2 รุ่นย่อย  
  • Vintage GT Series จำนวน 6 รุ่นย่อย  
  • Vintage Series จำนวน 7 รุ่นย่อย  
  • Classic Series จำนวน 10 รุ่นย่อย  
  • 520 Series จำนวน 10 รุ่นย่อย  
  • Series C1 จำนวน 5 รุ่นย่อย  
  • 540 Series จำนวน 4 รุ่นย่อย  
  • Ringbrothers Edition จำนวน 1 รุ่นย่อย  
  • HRE FlowForm จำนวน 8 รุ่นย่อย  

ตัวอย่างการแต่งล้อแม็ก hre ที่ร้าน P2013 

รถยนต์ที่เคยมาติดตั้งล้อแม็ก hre ที่ P2013 มีอยู่หลากหลายแบรนด์และหลากหลายรุ่น โดยมีตัวอย่างดังนี้

  • Honda Civic FC กับล้อแม็ก HRE P101
  • Chevy CRUZE กับล้อแม็ก HRE P40
  • Toyota Altis กับล้อแม็ก HRE P101 เป็นต้น

หากท่านสนใจติดตั้งล้อแม็ก hre ของแท้กับเราที่ P2013 ป.ธนพัฒน์ สามารถมาใช้บริการกับเราได้ทั้ง 2 สาขา โดยเราเป็นร้านจำหน่ายและติดตั้งอุปกรณ์ตกแต่งช่วงล่างรถยนต์หลากหลายประเภท เช่น เบรค โช๊คอัพ ล้อแม็ก ยางรถยนต์ หรือท่อไอเสีย ซึ่งเรามีตัวอย่างผลงานที่เราได้แต่งรถยนต์ให้กับลูกค้าหลายราย ท่านสามารถเข้าไปดูได้ที่ Facebook: P2013 – ป.ธนพัฒน์ 2013 หากต้องการสอบถามเพิ่มเติมติดต่อได้ที่ Mobile : 081-789-6639 // 099-1010-109 หรือ LINE ID : @P2013
0